นายกฯ ลั่นไม่ลาออกตามข้อเรียกร้องผู้ชุมนุม ถาม “ผมผิดอะไร” ขอผู้ปกครองเตือนบุตรหลาน ไม่อยากให้ใครถูกดำเนินคดี ย้ำประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนดใช้ 30 วัน ชี้เคอร์ฟิว เป็นไปตามขั้นตอนหากบานปลาย ขอทุกฝ่ายช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบ ไม่ซ้ำรอย “ฮ่องกงโมเดล”
*-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมครม.นัดพิเศษ ว่า ได้พิจารณาเห็นชอบประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พร้อมชี้แจงเหตุผลว่ามีความจำเป็นต้องประกาศใช้ เพราะสถานการณ์มีความรุนแรงซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยจะพยายามใช้ให้สั้นที่สุด เบื้องต้นกำหนดในการประกาศใช้ 30 วันถึงวันที่ 13 พ.ย. 2563 แต่หากสถานการณ์ดีขึ้นก็สามารถประกาศยกเลิกได้ทันที ทั้งนี้ได้มอบแนวทางให้กับหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ทั้ง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในการบังคับใช้กฎหมาย และขอร้องผู้ปกครองให้ช่วยดูแลบุตรหลานให้ดีที่สุด เพราะไม่อยากให้ใครถูกดำเนินคดี ซึ่งขณะนี้พอทราบผู้ที่อยู่เบื้องหลังของการเคลื่อนไหว ส่วนจะมีการประกาศเคอร์ฟิวส์เพื่อควบคุมสถานการณ์หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุได้เตรียมพร้อมไว้หากลุกลามบานปลาย ซึ่งมีขั้นตอนและเงื่อนไข รวมถึงเวลาที่เหมาะสม แต่ยืนยันสถานการณ์ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นต้องประกาศใช้กฎอัยการศึก และปฏิเสธให้ความเห็นหลังถูกผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องการรัฐประหาร และมองว่าเป็นคำถามที่ซ้ำซาก และตนได้มอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ทำความเข้าใจสถานการณ์กับต่างประเทศแล้ว
*-ส่วนที่ฝ่ายค้านเรียกร้องให้เปิดสภาสมัยวิสามัญเพื่อหาทางออกนั้น มองว่า ขอให้เดินหน้าตามกระบวนการเพราะอีกเพียง 2 สัปดาห์ก็จะเปิดประชุมสภาสมัยสามัญแล้ว ขณะนี้ทุกอย่างกำลังเดินหน้าตามกลไก ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามขั้นตอน พร้อมยืนยันจะไม่ลาออกตามข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมแม้จะไม่มีการกดดัน พร้อมถามกลับว่าที่ผ่านมา “ตนผิดอะไร” วันนี้ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบ มีเสถียรภาพ ไม่ให้สถานการณ์บานปลาย เพราะเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังรอโอกาส และการสนับสนุนจากรัฐบาล “เรื่องนี้พวกเขาไม่เดือดร้อน แต่คนส่วนใหญ่เดือดร้อน”
*-นายกรัฐมนตรี ยังฝากไปถึงสื่อมวลชนก่อนเข้าพื้นที่ชุมนุม ขอให้ติดปอกแขนเพื่อแสดงสัญลักษณ์ให้ชัดเจนป้องกันการแอบอ้าง เพราะตอนนี้มีการถ่ายภาพแล้วสื่อออกมาแล้วแต่มุมมอง ทำให้เกิดความสับสน ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้ดูแลอย่างเต็มที่ ไม่มีการใช้กำลัง และเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ อีกทั้ง เน้นย้ำการใช้โซเชียลมีเดียที่บิดเบือน ซึ่งอยากขอเตือนคนทำเพราะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
*-เมื่อถามถึงข้อเสนอของนักวิชาการอยากให้รัฐบาลจริงใจเปิดรับฟังผู้เห็นต่าง นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตนไม่จริงใจตรงไหน และย้อนถามกลับว่า “คุณไม่ถามกลับเค้าจริงใจหรือเปล่า เพราะผมเป็นนายกรัฐมนตรีที่รับฟังมากที่สุด” ส่วนเมื่อถามถึงการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมที่คล้ายกับ “ฮ่องกงโมเดล” นายกรัฐมนตรี ระบุว่า แล้วฮ่องกงโมเดลเป็นอย่างไรบ้าง ธุรกิจเสียหายพังพิพาศ คนชุมนุมเป็นอย่างไรบ้าง แต่นั่นเขาเป็นสังคมนิยมประชาธิปไตย แต่เราเป็นประชาธิปไตยไม่สามารถทำได้ ดังนั้นเราจะต้องทำให้ดีที่สุด และต้องอยู่ด้วยความร่วมมือของคนไทยทุกคน
*-นายกรัฐมนตรี มองว่า ความวุ่นวายของบ้านเมืองที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่มาจากการนำเสนอข่าวของสื่อที่มุ่งเน้นแต่ประเด็นทางการเมือง พร้อมกับตั้งคำถามว่าที่บ้านเมืองไม่สงบเป็นเพราะใคร และสิ่งที่รัฐบาลทำมาตลอดหลายปี สื่อมวลชนเคยนำเสนอในทิศทางที่ดีต่อประชาชนบ้างหรือไม่ เพราะท่านเน้นแต่เสนอข่าวการเมืองอย่างเดียว บ้านเมืองถึงวุ่นวายแบบนี้ ขอให้นำเสนอข่าวเพื่อให้บ้านเมืองสงบ ตนก็ไม่รู้ว่าทำความผิดอะไร ผู้สื่อข่าวได้กลับนายกรัฐมนตรีอาจเป็นเพราะนายกรัฐมนตรีอยู่นานเกินไปและมีแนวโน้มจะอยู่อีกนาน นายกรัฐมนตรี ระบุว่า “ปัท โธ่ เคยเข้าวัดฟังพระสวดหรือไม่ สวดพระอภิธรรมบทมีอยู่ 4 จบให้ไปฟัง เมื่อถามต่อระหว่างสวดมนต์กับแผ่เมตตาจะทำอะไรดีกว่ากัน นายกรัฐมนตรีบอกว่า ทำทุกอย่างและให้อโหสิกับคนทุกคน ไม่ให้ร้ายกับใคร เพระสิ่งที่ให้ร้ายคนอื่นจะกลับมาที่ตัวเอง ดังนั้นอย่าประมาทการใช้ชีวิต เพราะทุกคนมีทั้งตายในวันนี้และพรุ่งนี้ อย่าประมาทชีวิต ต้องพร้อมตายในทุกโอกาสเพราะเรากำหนดไม่ได้ อย่าท้าทายกับพญามัจจุราช
และในช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์ นายกรัฐมนตรีฝากไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมว่า “ขอร้องไม่อยากให้ใครต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทั้งสิ้น ไม่อยากให้ทำ รักแผ่นดินเกิดของท่านให้มากขึ้นเท่านั้นเอง