รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ชี้พฤติการณ์เยาวชนพัทลุงลวงฆ่าเข้าข่ายรับโทษเท่าผู้ใหญ่ สามารถโอนคดีจากศาลเยาวชนและครอบครัวไปพิจารณาคดีธรรมดาได้ ด้าน บุ๋ม ปนัดดา เอาจริง! เตรียมล่ารายชื่อ 1 แสนคน ยกเลิกอภัยโทษคดีฆ่าข่มขืน ทั้งผู้ใหญ่และเยาวชน
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีเยาวชนที่จังหวัดพัทลุงลวงฆ่าฝังดินคู่อริพร้อมข่มขืน ทำร้ายร่างกายแฟนสาว ก่อนจับโยนลงเหว ว่ามีพฤติการณ์โหดร้ายเกินกว่าวัย ซึ่งสามารถโอนคดีจากศาลเยาวชนและครอบครัวไปพิจารณาคดีธรรมดาได้ ตามมาตรา 97 วรรค 2 เนื่องจากเข้าข่ายในหลักเกณฑ์ที่ประกอบการสังเกต คือ 1.มีการวางแผนเตรียมการมาก่อน 2.มีลักษณะอุกอาจ โหดร้าย ทารุณ 3.ผลที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง หรือเกิดความเสียหายแก่สังคมโดยรวม 4.กระทำโดยขาดความเห็นอกเห็นใจเหยื่อ และ 5.เคยมีประวัติการกระทำผิดในทำนองเดียวกันมาก่อน ไม่ว่าจะถูกจับกุมหรือไม่ นอกจากนี้จะดูว่าเมื่อสุขภาพร่างกาย แข็งแรง สมบูรณ์ และขณะกระทำความผิดมีระดับสติปัญญาไม่บกพร่อง คือไม่ต่ำกว่า 70 เมื่อทดสอบโดยใช้แบบทดสอบเชาวน์ปัญญา รวมทั้งพิจารณาภาวะแห่งจิตและนิสัย โดยการตรวจสภาพจิตโดยจิตแพทย์ และผลการทดสอบทางจิตวิทยา พบว่า ไม่มีอาการของโรคจิต วิกลจริต หรือพยาธิสภาพทางสมอง แต่มีแนวโน้มว่าอาจมีปัญหาบุคลิกภาพในอนาคต เช่น ต่อต้านสังคมหรือมีความเป็นผู้ร้ายโดยสันดาน โดยตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว มาตรา 97 วรรคสอง ระบุว่า คดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัว ถ้าศาลเยาวชนและครอบครัวพิจารณาโดยคำนึงถึงร่างกาย สติปัญญา สุขภาพ ภาวะแห่งจิตและนิสัยแล้วเห็นว่าในขณะกระทำความผิดหรือในระหว่างการพิจารณาเด็กหรือเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิดมีสภาพเช่นเดียวกับบุคคลที่มีอายุตั้งแต่สิบแปดปีบริบูรณ์ขึ้นไป ก็ให้มีอำนาจสั่งให้โอนคดีไปพิจารณาในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดาได้ ซึ่งในขณะนี้ศาลยังไม่ได้มีการพิจารณา โดยยังอยู่ในกระบวนการสืบเสาะหาข้อเท็จจริงที่มีระยะเวลา 30 วัน ทั้งนี้ที่ผ่านมาก็มีหลายเหตุการณ์ที่มีการโอนคดีของเยาวชนที่กระทำความผิดไปพิจารณาคดีศาลธรรมดา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคดีฆ่า
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวด้วยว่า ในสังคมมีความเป็นห่วงในเรื่องของการก่อเหตุรุนแรงในเด็กที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทางกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้พยายามหาทางแก้ไข หลักสำคัญก็คือครอบครัวที่จะต้องเข้ามามีส่วนร่วม ส่วนการที่หลายคนมองว่ากฎหมายบทลงโทษอ่อนเกินไปนั้น เห็นว่าเพียงพอแล้ว เพราะเทียบกับต่างประเทศถือว่ารุนแรงกว่า สำหรับที่หลายฝ่ายมีการเสนอความคิดให้ลงโทษประหารผู้ก่อเหตุข่มขืนนั้น ในประเทศไทยไม่มีบทลงโทษการประหารชีวิตในเยาวชน ส่วนในผู้ใหญ่ก็ไม่ค่อยมี เพราะตามงานวิจัยพบว่าโทษประหารไม่มีผลทำให้คนเกรงกลัว พร้อมกันนี้จากสถิติของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พบว่ามีเยาวชนที่กลับไปก่อเหตุซ้ำเพียงแค่ 12 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งยังเชื่อว่าการให้โอกาสจะทำให้เด็กเหล่านี้กลับมาอยู่ในสังคมได้
ขณะที่ บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี นักแสดงสาวผู้ก่อตั้งองค์กรทำดี ได้ประกาศเจตนารมณ์เพื่อล่ารายชื่อจากประชาชนที่มีแนวคิดเดียวกันเกี่ยวกับการรณรงค์ให้มีการแก้ไขกฎหมายบทลงโทษขั้นสูงสุดแก่นักโทษและผู้ต้องหาในคดีข่มขืนกระทำชำเรา หรือฆาตกรรมกระทำชำเรา ให้เป็นโทษประหารชีวิต และยกเลิกการให้อภัยโทษ โดยระบุว่า
"ในเมื่อ...
1. เปลี่ยนกฎหมายเยาวชนไม่ได้ เพราะเป็นไปตามกฎหมายสากล
2. พ่อแม่ช่วยดูแลไม่ได้ เพราะช่วยลูกจนเสียคนขนาดนี้
3. เข้าสถานพินิจแล้วออกมาเป็นคนดี ยังเป็นที่สงสัย ?
4. ต่อให้ 4 โจรพัทลุงติดคุกไป รับโทษหนักใช่ว่าจะไม่มีเคสเยาวชนก่อเรื่องแบบนี้อีก
ดังนั้นเราจะขอให้มีการยกเลิก การอภัยโทษ สำหรับนักโทษ ฆ่าข่มขืน เหมือนนักโทษยาเสพติด !!! จะได้สำนึกผิดในคุกนาน ๆ เพราะนี่ก็รุนแรงเกินที่คนทั้งประเทศรับได้ค่ะ"
+ อ่านเพิ่มเติม