จากกรณีที่ 'น้องโวลต์' นักเรียนชาวกาฬสินธุ์เรียนเก่งสอบติดคณะแพทยศาสตร์ แต่ครอบครัวยากไร้ไม่มีเงินส่งเสียค่าเทอม สภาพบ้านทรุดโทรมเป็นเพิงมุงด้วยสังกะสีตั้งอยู่กลางสวนท้ายหมู่บ้านที่สภาพค่อนข้างทุรกันดาร ครอบครัวทั้งเนื้อทั้งตัวมีเงินติดตัวอยู่แค่ 1,500 บาท สร้างความสงสารแก่ประชาชนเป็นอย่างมากจนกลายเป็นข่าวโด่งดัง โดยครอบครัวได้เปิดรับบริจาคและได้ยอดบริจาคไปแล้วกว่า 3.7 ล้านบาท พร้อมได้รับทุนการศึกษาจากผู้ใหญ่ใจดีที่จ่ายค่าเทอมเรียนแพทย์ฟรี 6 ปีจนครบจบหลักสูตร
ขณะที่โลกออนไลน์มีชาวเน็ตออกมาจับโป๊ะน้องโวลต์ถึงความไม่ชอบมาพากลสำหรับเรื่องนี้ เมื่อปรากฎภาพน้องโวลต์ใช้ไอแพดโปรราคากว่า 25,000 บาท พร้อมแอปเปิ้ลเพนซิลราคากว่า 4,000 บาท ขวดน้ำหอมแบรนด์หรูดิออร์ราคากว่า 5,000 บาท อีกทั้งรถยนต์ป้ายแดง อินเทอร์เน็ตไวไฟ และเธอยังมีการจัดฟันอีกด้วย สร้างความแคลงใจต่อชาวเน็ตเป็นอย่างมากว่าน้องโวลต์อาจจนไม่จริง จนเกิดเป็นกระแส #จนทิพย์ ขึ้นอันดับ 1 เทรนด์ทวิตเตอร์เพียงชั่วข้ามคืน
ล่าสุดวันนี้ 13 พ.ค. 64 เวลาประมาณ 08.30 น. นายสมเจตน์ เต็งมงคล นายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบและให้เข้าเยี่ยมครอบครัวน้องโวลต์เพื่อความกระจ่างและโปร่งใสของกรณีนี้ ซึ่งน้องโวลต์กล่าวว่า เรื่องการจัดฟัน ตนทำงานพาร์ตไทม์หลังเลิกเรียนหารายได้พิเศษมาตั้งแต่ ม.3 ซึ่งตอนนั้นฟันมีปัญหาได้ไปพบแพทย์แนะนำให้จัดฟันและรักษาไปด้วยเริ่มทำตอนม.4 ตอนนั้นพอมีเงินเก็บจากการทำงานจึงตัดสินใจรักษา ส่วนไอแพด ตนทำงานเก็บพาร์ทไทม์เช่นกัน พยายามเก็บหอมรอมริบประมาณ 1 ปีเศษ จึงซื้อมาใช้เพื่อค้นคว้าข้อมูลในการเรียน ส่วนอินเทอร์เน็ตไวไฟก็เป็นของพี่ชายที่ติดตั้งไว้ทำงานมีค่ารายเดือน 600 บาท พี่ชายเป็นคนชำระ
น้องโวลต์กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีน้ำหอมนั้นตนซื้อมาในอินเตอร์เน็ตมือสอง ราคา 300 บาท มีน้ำหอมเหลือก้นขวด เอามาตั้งไว้เฉยๆ ไม่ได้ใช้ ส่วนรถยนต์นั้นไม่ใช่ของครอบครัวตนเป็นรถยนต์ของน้าซื้อให้ลูกสะใภ้ใช้ ซึ่งหลังเกิดกระแสครั้งนี้ตนก็รู้สึกเสียใจ เพราะสิ่งที่ตนพูดไปนั้นเป็นความจริง ครอบครัวยากจนจริงๆ ตนต้องทำงานหาเงินเรียนมาตั้งแต่ ม.3 ไม่อยากขอเงินพ่อ แม่อย่างเดียว และอยากให้ครอบครัวดีขึ้น กระทั่งมีความสนใจอยากเรียนแพทย์และอยากเป็นหมอ อย่างไรก็ตามขณะนี้ตนก็ได้ปิดบัญชีแล้ว และยืนยันว่าจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด
ทีมข่าว Tero News ได้สอบถามไปยังนายอำเภอสมเจตน์ถึงกรณีนี้ ซึ่งได้รับคำตอบว่า "ยืนยันว่าครอบครัวน้องโวลต์มีความลำบากจริง โดยพ่อแม่ทำอาชีพปลูกผักขาย ส่วนน้องโวลต์ทำงานพาร์ทไทม์หลังเลิกเรียนเป็นพนักงานขายที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ส่วนยอดเงินที่น้องโวลต์ได้รับมาทั้งหมดเป็นเงิน 3,795,000 บาท โดยตนจะประสานทางโรงเรียนของน้องโวลต์ให้เป็นผู้จัดการกับเงินดังกล่าว โดยจะมีคณะกรรมการเป็นผู้ดูแลเงิน และหากว่าน้องโวลต์มีความประสงค์จะเบิกถอนเงินมาใช้จะต้องทำแผนการใช้เงินทั้งหมดก่อน ซึ่งยืนยันว่าเงินที่ได้จะใช้เป็นทุนการศึกษาให้กับน้องโวลต์ทุกบาททุกสตางค์ หากว่าเหลือจากค่าใช้จ่ายในการเรียนแล้ว จะนำไปเป็นทุนการศึกษาให้น้องโวลต์เรียนต่อแพทย์เฉพาะทางหรือหากน้องโวลต์ต้องไปเรียนต่อต่างประเทศต่อไป."