จากกรณีการจ้างงาน ลุงพลและป้าแต๋น ทั้งเดินแบบ รีวิวสินค้า รีวิวรถ ค่าตัวพุ่งถึงหลักล้าน ขณะที่กระแสผู้คนที่ชื่นชอบต่างค่อยช่วยเหลือจนถึงขั้นสร้างบ้านให้
ล่าสุด โลกโซเชียลแห่ติดแฮชแท็ก #แบนลุงพล จนติดอันดับในทวิตเตอร์ พร้อมตั้งคำถามปฏิกิริยาในสังคมที่มีต่อลุงพล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยในการเสียชีวิตของน้องชมพู่ โดยมีการวิพากวิจารณ์ถึงผู้ต้องสงสัยจนกลายเป็นเซเลปเงินล้านได้อย่างไร
ขณะที่ ครูลูกกอล์ฟ คณาธิป สุนทรรักษ์ ได้โพสต์โซเชียลว่า "สื่อหลัก สื่อรอง สื่อใดๆสำคัญมากจริงๆ ดูง่ายๆ พวกคุณสามารถเปลี่ยนเรื่องราวการเสียชีวิตของเด็กผู้หญิงคนนึง ให้กลายเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอคะ? ไม่มีใครในองค์กรเตือนกันบ้าง หรือเอะใจสักหน่อย? ส่วนพวกเราคงทำได้แค่ไม่ต้องไปแชร์ข่าวพวกนั้นต่อ" แต่เมื่อโพสต์ดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ไปนั้นทำให้ด้านผู้คนที่ชื่นชอบและสนับสนุนลุงพล ต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมากจนเกิดกระแสดราม่า
เช่นเดียวกับ หัวหน้าช่างภาพช่องดัง โพสต์เดือดลาออก-ขอโทษมีส่วนหยิบยื่นความเน่าเฟ่ะให้สังคม ปมข่าวลุงพล ขอยอมแพ้ต่อความบิดเบี้ยว รับท้วงติงไม่ได้ วอนอย่าเหมารวมภาพทั้งหมดของ "สื่อมวลชน" ชี้มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องเผชิญ โดยโพสต์ข้อความระบุว่า
ขอโทษกับความเน่าเฟะกรณีลุงพล ป้าแต๋น และบ้านกกกอก จากน้ำมือของ “สื่อมวลชนอย่างพวกเรา” ที่หยิบยื่นให้กับสังคม ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา
ผมทำหน้าที่เป็นหัวหน้าช่างภาพข่าวของหนึ่งในสถานีโทรทัศน์ที่นำเสนอข่าวนี้มาโดยตลอด ผมทำงานที่นี่มา 6 ปี ตั้งแต่วันแรกของการออกอากาศ จนวันนี้ไม่สามารถอดทนกับเรื่องที่เกิดขึ้นและได้ตัดสินใจเดินออกมาแล้ว
จากคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ที่ถูกนำเสนอโดยสื่อมวลชนกลุ่มหนึ่งและ “ผมคือหนึ่งในนั้น” ที่มีส่วนทำให้คดีความ 1 คดี กลายเป็นเรียลลิตี้ชีวิตของลุงพล-ป๋าแต๋น เรียลลิตี้ความแตกแยกของครอบครัวๆหนึ่ง ชีวิตคนในหมู่บ้านกกกอก เรื่องไสยศาสตร์ ความงมงาย และการมอมเมา
“เราขายข่าวรายวัน” “เราหน้าไม่อาย” “เราไม่สนผิดถูก” “เราไร้จรรยาบรรณ” คือสิ่งที่สังคมตั้งคำถาม และมันถูกต้องทั้งหมด
เรานำเสนอเรื่องราวที่ห่างไกลจากสิ่งที่ควรจะเป็นจนกู่ไม่กลับ หาประโยชน์และปล่อยให้กลุ่มคนที่ต้องการผลประโยชน์จากเรื่องนี้เข้ามารุมทึ้ง “เราอยากได้กระแส และต้องการเพียงแค่ยอดคนดู ยอดกดไลก์ ยอดแชร์”
บางคนแก้ต่างว่าสิ่งที่เกิดขึ้น สื่อฯอย่างพวกผม ทำไปเพื่อตอบสนองความกระหายใคร่รู้ของคนในสังคม หรือช่วยเหลือให้ชาวบ้าน 2 คนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น
มันไม่ใช่แค่สิ่งนั้นแน่นอน มันคือผลประโยชน์ทั้งนั้น
ยอมรับกันสักทีเถอะว่า “เรา” คือตัวแปรสำคัญ
และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความบิดเบี้ยวทั้งหมดนี้
เพราะเราหิวกระหายเรตติ้งกันเหลือเกิน
“เรตติ้ง” คือทุกสิ่งทุกอย่าง
“เรตติ้ง” คือปัจจัยที่จะบอกได้ว่าคุณอยู่หรือไป
และ “เรตติ้ง” ก็กลายเป็นข้ออ้าง ที่ทำให้คนบางกลุ่มยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้มา
ผมเป็นหนึ่งคนที่รับรู้เรื่องราว ที่ถูกสร้าง ปั้นแต่งและถูกนำเสนอผ่านหน้าจอมาโดยตลอด และตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า “พวกเราทำอะไรกันอยู่” “มันไม่ใช่ปรากฏการณ์ ไม่ใช่ความแปลกใหม่ ไม่ใช่ห่าอะไรทั้งสิ้น”
วันนี้ ผมซึ่งระลึกเสมอว่าตัวเองเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ และพยายามจะแก้ไขอะไรบ้าง แต่สุดท้าย “ผมขอยอมแพ้กับความบิดเบี้ยว และยอมรับว่าตัวเองไม่สามารถท้วงติง หรือเปลี่ยนแปลงอะไรที่เกิดขึ้นจากต้นทางได้”
ทุกอย่างยังดำเนินต่อไป ด้วยเหตุผลที่สรรหากันมา
ผมขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด และหวังว่าเมื่อเหตุการณ์จบลง ทั้งเราและคนดูบางกลุ่มน่าจะได้บทเรียนจากเรื่องนี้บ้าง และขออย่าเหมารวมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือภาพทั้งหมดของ “สื่อมวลชน” ผมยืนยันว่าในสภาวะที่มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องเผชิญ วันนี้ยังคงมีเพื่อนสื่อมวลชน ที่พยายามทำหน้าที่ของตัวเอง ทำหน้าที่ของสื่ออย่างที่ควรจะเป็นให้ได้ดีที่สุด ผมขอบคุณและขอให้กำลังใจเพื่อนสื่อมวลชนที่ยังยืนหยัดทำหน้าที่อย่างถูกต้องต่อไป
9 กันยายน 63
หลังการประชุมที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
#Fuckthesystem #แบนระบบ ก่อน #แบนลุงพล เถอะ
#พูดถึงจริยธรรมแต่สิ่งที่ทำแม่งโคตรระยำ