คดี "บอส อยู่วิทยา" ไม่จบ.! คณะทำงานอัยการ สั่งเริ่มต้นคดีใหม่ 2 ข้อหา โคเค กับ ความเร็ว หลังพบหลักฐานใหม่
logo TERO HOT SCOOP

คดี "บอส อยู่วิทยา" ไม่จบ.! คณะทำงานอัยการ สั่งเริ่มต้นคดีใหม่ 2 ข้อหา โคเค กับ ความเร็ว หลังพบหลักฐานใหม่

1,649 ครั้ง
|
04 ส.ค. 2563

   คณะกรรมการของสำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาสำนวนการสั่งไม่ฟ้อง นาย วรยุทธ อยู่วิทยา แถลงผลการตรวจสอบ พร้อมชี้แจงทุกประเด็นที่สังคมสงสัย 

 

  สำนักงานอัยการสูงสุด ประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด -คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา ชี้แจงผลการพิจารณา หลังตรวจสอบสำนวนคดีครบกรอบเวลา 7วัน โดยสรุปคือคณะทำงานมีข้อเสนอแนะใน2ประเด็น คือ

   ประเด็นเรื่องของขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แม้คดีนี้พนักงานอัยการมีความเห็นไม่ฟ้อง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่เห็นแย้ง แต่ไม่ได้หมายความว่าคดีนี้สิ้นสุดลง เพียงแต่เป็นการงดการสอบสวน เว้นแต่จะมีพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งในคดีนี้ช่วงเวลาหลังเกิดเหตุ มีการให้นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ คือ ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ก่อนทำรายงานการคำนวนความเร็วพบว่าอยู่ที่ 177กม./ชม ซึ่งไม่เคยปรากฎความเห็นของดร.สธน อยู่ในสำนวนของพนักงานสอบสวน จึงถือว่าข้อมูลนี้เป็นพยานหลักฐานใหม่ ที่สามารถไปสอบสวนเพิ่มเติมและดำเนินคดีเรื่องความเร็วรถใหม่ได้ เพราะคดียังไม่หมดอายุความ

   ส่วนอีกหนึ่งความเห็นคือการพบสารแปลกปลอมในร่างกายของนายบอส แต่พนักงานสอบสวนไม่เคยแจ้งข้อกล่าวหาว่าการเสพยาเสพติดอยู่ในสำนวนคดี จึงมองว่าควรมีการแจ้งข้อกล่าวหา ให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม

   ขณะที่นายชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา ขยายความว่า จากการตรวจเลือดในขณะนั้นพบสาร 2 ตัวในร่างกาย คือ เบนซอยเลโคนีน และโคคาเอชเชอลีน ซึ่งทั้งสองสารไม่ใช่ยาเสพติด เป็นสารที่พบในร่างกายเมื่อร่างกายทำปฏิกิริยากับโคเคน ซึ่งอีกสารจะปรากฎเมื่อมีการเสพโคเคนร่วมกับดื่มแอลกอฮอล์ แต่แพทย์ให้ความเห็นว่าการพบสารทั้งสองตัวใหม่สามารถยืนยันได้ว่ามีการเสพโคเคน จึงมีการไปสอบทันตแพทย์เพิ่ม ว่าสารดังกล่าวสามารถพบได้ในยาแก้ปวด แอมม็อกซี่ จึงมีความเห็นว่าประเด็นนี้ยังไม่ชัดเจน จึงเสนอว่าควรสอบประเด็นนี้เพิ่มเติม 

   ทั้งนี้นายชาญชัย ระบุว่า คดีนี้ทำให้เห็นปัญหาของระบบว่ามีช่องโหว่หลายจุด ทั้งการทำงานของพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ ควรร่วมกันสอบสวนอย่างทันท่วงที อีกส่วนหนึ่งคือการเปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาสามารถร้องขอความเป็นธรรม เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง จึงทำให้เสียเวลาในการพิจารณาคดี หลังจากนี้อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการร้องขอความเป็นธรรมใหม่ ซึ่งจะต้องมีการถอดบทเรียนใหม่

  ขณะที่นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม วอนสังคมเข้าใจว่าคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สิ้นสุด อย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะถือว่าสำนวนคดียังไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลต่างๆที่หยิบยกมาเสนอแนะ และการนำพยานหลักฐานใหม่เข้ามาพิจารรา ไม่ใช่การรื้อฟื้นคดี ส่วนข้อเรียกร้องว่าจะเอาผิดนาย เนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ที่พิจารณาสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ ซึ่งต่างจากความเห็นอัยการชุดเดิม นายประยุทธ เพชรคุณชี้แจงว่าเรื่องนี้คณะทำไม่สามารถไปก้าวล่วง อำนาจได้ ไม่สามารถวินิจฉัยว่าใครผิดหรือถูก แต่ทำได้แค่เสนอให้อัยการสูงสุด ทำตามพรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พศ.2553 ต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง