รมว.ดีอี-ปอท.เปิดปฏิบัติการทลายล้างข่าวปลอม 9 จุดทั่วประเทศ
logo ข่าวอัพเดท

รมว.ดีอี-ปอท.เปิดปฏิบัติการทลายล้างข่าวปลอม 9 จุดทั่วประเทศ

ข่าวอัพเดท : วันที่ 10 ก.ย. 62 ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) กระทรวงดิจิทัจเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เฟคนิวส์,ปอท,Fake News,กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

1,532 ครั้ง
|
10 ก.ย. 2562
วันที่ 10 ก.ย. 62 ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) กระทรวงดิจิทัจเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ บก.ปอท. แถลงข่าวผลปฏิบัติการ ‘09.09.2019 ปฏิบัติการทลายล้างข่าวปลอม’ ซึ่งได้มีการปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมาย Fake News 9 คดี 9 จุด ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 19 ส.ค.-9 ก.ย. 62 
 
ภายใต้การนำของ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษกิจและสังคม และ พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ที่ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท. สืบสวนการกระทำความผิดในลักษณะการของการสร้างข่าวปลอมทางสื่อสังคมออนไลน์ รวม 9 คดีดังนี้
 
ข่าวอัพเดท : รมว.ดีอี-ปอท.เปิดปฏิบัติการทลายล้าง
 
คดีแรก เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดป่วนกรุง ซึ่งในโซเชียลได้มีการแชร์ภาพข่าวประกาศพื้นที่ควบคุมพิเศษ ระเบิด 7 จุด โดยเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นข้อความเท็จ จึงได้ทำการสืบหาต้นตอคนโพสต์ ทราบว่าคนโพสต์อยู่ย่านบางพลัด กทม. จึงได้นำตัวมาทำการดำเนินคดี 
 
คดีที่ 2 เกี่ยวกับกรณี Email-Scam คือการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และหลอกลวงให้คู่ค้าของผู้เสียหลงเชื่อว่าคนร้ายเป็นคู่ค้ากับผู้เสียหายจริง ซึ่งมีการทำเป็นขบวนการทั้งสิ้น 5 คน ประกอบด้วยชาวไนจีเรีย 3 ราย และคนไทย 2 ราย มูลค่าความเสียหายหลายล้านบาท 
 
คดีที่ 3 Romance Scam เป็นคดีที่คนร้ายสร้างเฟซบุ๊กปลอมแฝงตัวเป็นชาวต่างชาติ และในคดีนี้มีผู้ร่วมขบวนการด้วย 2 คน ซึ่งมีหน้าที่โทรศัพท์สร้างเรื่องหลอกผู้เสียหายว่ามีของส่งมาจากต่างประเทศ และหลอกให้โอนเงิน มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นกว่าล้านบาท 
 
คดีที่ 4 เป็นคดีที่คนร้ายอ้างว่าเป็นข้าราชการระดับสูงกระทรวงมหาดไทย เพื่อหลอกลวงขายสินค้าออนไลน์ โดยสามารถจับกุมคนร้ายได้ที่ จ.มหาสารคาม และ จ.สมุทรสาคร 
 
ข่าวอัพเดท : รมว.ดีอี-ปอท.เปิดปฏิบัติการทลายล้าง
 
คดีที่ 5 คนร้ายแอบอ้างว่าเป็นลูกสาวของประธานาธิบดีประเทศจีน ซึ่งคดีนี้ เกิดจากที่มีเพจเฟซบุ๊ก ได้นำคลิปการโคฟเวอร์เพลงของนักร้องสาวชาวไทยคนหนึ่งมาลงที่เพจตัวเอง โดยที่ใช้แคปชั่นว่า มาฟัง สีหมิงเจ๋อ ลูกสาวคนเดียวของประธานาธิบดีประเทศ สีจิ้นผิง แห่งประเทศจีนร้องเพลง เพราะต้องการให้คนมากดติดตามเพจ ทำให้นักร้องสาวคนดังกล่าวเสียหายเพราะถูกนำคลิปไปแอบอ้าง ซึ่งต่อมาได้สืบทราบว่าแอดมินเพจดังกล่าวอยู่ที่เกาะสมุย ซึ่งหลังจากนี้จะมีการตรวจสอบและทำการแจ้งข้อหาต่อไป 
 
ดคีที่ 6 ได้มีการโพสต์ข่าวปลอมแม่น้ำโขงแห้ง ปลาสูญพันธ์ ลงในเฟซบุ๊ก พร้อมกับระบุข้อความว่า จีนไม่ปล่อยน้ำลงมาที่แม่น้ำโขง ส่งผลให้แม่น้ำโขงแห้ง ซึ่งเป็นการบิดเบือนจากข้อเท็จจริง โดยพบว่าแอดมินเพจอยู่ที่ จ.นนทบุรี จึงได้นำตัวมาดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ 
 
คดีที่ 7 หลอกขายผลิตภัณฑ์ประหยัดไฟฟ้า โดยมีการนำภาพเจ้าหน้าที่การไฟฟ้ามาตัดต่อกับรูปผลิตภัณฑ์ เพื่อทำการขาย บก.ปอท. จึงร่วมกับ บก.ปคบ. นำหมายค้นไปยังโกดังเก็บสินค้าที่อยู่ในพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และ อ.พานทอง จ.ชลบุรี โดยได้ทำการตรวจยึดผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมายจำนวนมาก 
 
ข่าวอัพเดท : รมว.ดีอี-ปอท.เปิดปฏิบัติการทลายล้าง
 
คดีที่ 8 แอบอ้างนามสกุลนายกรัฐมนตรี หลอกขายของออนไลน์ โดยต่อมาสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ และยอมรับว่าได้มีการหลอกขายสินค้ามาแล้วหลายครั้ง โดยคดีนี้ มีผู้เสียหายกว่า 100 ราย 
ขณะที่คดีสุดท้าย เป็นการเปิดเพจเฟซบุ๊กล้มล้างการปกครอง บก.ปอท.ได้นำหมายค้นของศาล จ.นนทบุรี เข้าตรวจค้นที่บ้านพักย่านเมืองทอง และได้พบตัวผู้กระทำ ซึ่งยอมรับว่ากระทำจริง จึงได้นำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
 
พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ระบุว่า ปัจจุบันมีการสร้างข่าวปลอมหรือ Fake News ในสังคมออนไลน์ สามารถแบ่งได้ 4 ประเภท คือกลุ่มเกรียนหรือนักเลงคีย์บอร์ดโพสต์ข้อความสร้างกระแสเพื่อความสนุกส่วนตัว, กลุ่มหวังเงิน นำภาพดารา ผู้มีชื่อเสียง โพสต์สร้างกระแส หวังยอดติดตามเพื่อโฆษณา, กลุ่มส้รางความเกลียดชัง โพสต์ข้อความดูหมิ่น ยุยง ปลุกปั่นหรือกลุ่ม Hate Speech และกลุ่มหลอกลวง นำเข้าข้อมูลเท็จ หลอกขายสินค้า ซึ่งหากกระทำความผิดก็จะมีโทษทั้งจำทั้งปรับ และขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อขอให้ตรวจสอบให้ชัดเจน 
 
ข่าวอัพเดท : รมว.ดีอี-ปอท.เปิดปฏิบัติการทลายล้าง
 
ส่วนที่จะมีการคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นนั้น นายพุทธิพงศ์ ระบุว่า ประชาชนสามารถโพสต์ข้อความ แสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตได้ หากไม่สร้างความเกลียดชัง และไม่เกิดความเสียหายต่อสังคม แต่หากกระทบบุคคลอื่น อาจเข้าข่ายหมิ่นประมาทได้