รวบเจ้าของคลินิก ฉีดยาแก้กล้ามเนื้ออักเสบเจ้าของร้านขายลาบ เพียงข้ามคืนดับปริศนา
logo ข่าวอัพเดท

รวบเจ้าของคลินิก ฉีดยาแก้กล้ามเนื้ออักเสบเจ้าของร้านขายลาบ เพียงข้ามคืนดับปริศนา

ข่าวอัพเดท : รวบเจ้าของคลินิกฉีดยาแก้กล้ามเนื้ออักเสบหนุ่มเจ้าของร้านขายลาบเพียงข้ามคืนดับปริศนา ตำรวจรอผลตรวจชิ้นเนื้อผู้ตาย หากพบว่

33,384 ครั้ง
|
04 ก.ค. 2560
 
            รวบเจ้าของคลินิกฉีดยาแก้กล้ามเนื้ออักเสบหนุ่มเจ้าของร้านขายลาบเพียงข้ามคืนดับปริศนา ตำรวจรอผลตรวจชิ้นเนื้อผู้ตาย หากพบว่าเกี่ยวข้องกับการรักษา จะแจ้งข้อหาเพิ่มเติม
 
            จากกรณี นางสุภาวดี มังคละเสถียร อายุ 43 ปี ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมือง สมุทรปราการ เนื่องจากติดใจการเสียชีวิตของนายวินัย มังคละเสถียร อายุ 45 ปี หลังมีอาการปวดต้นแขนข้างขวา
จึงไปรักษาที่คลินิกแห่งหนึ่ง ในซอยเทศบาลบางปู 47 แต่วินิจฉัยโรคเป็นอาการของกล้ามเนื้ออักเสบ ก่อนที่จะฉีดยาให้ 1 เข็ม แต่อาการไม่ดีขึ้นแถมยังมีอาการคล้ายแขนขาอ่อนแรงและเวียนหัว ก่อนที่จะนอนให้น้ำเกลือและให้กลับมาพักที่บ้าน
           
           แต่อาการทรุดหนักตนจึงพาไปรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ก่อนที่สามีตนจะเสียชีวิตลงในช่วงบ่ายของวันที่ 2 กรกฎาคม ที่ผ่านมา หลังจากที่ตนได้นำศพไปทีวัดเพื่อจะตั้งสวดบำเพ็ญกุศลเมื่อญาติคนอื่น ๆ ได้เห็นสภาพศพของสามีตนและเกิดติดใจการเสียชีวิต ตนจึงได้เข้าแจ้งความเพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง
 
  นายรังสรรค์ วงษ์บุญหนัก เภสัชกรชำนานการพิเศษ สสจ.สมุทรปราการ พร้อมเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้เดินทางตรวจสอบที่คลินิกดังกล่าว ซอยเทศบาลบางปู 47 พบว่าคลินิกดังกล่าวยังเปิดทำการตามปติ จึงได้เข้าไปตรวจสอบภายในคลินิก ได้พบนายวิทยา โตมาซา อายุ 59 ปี อยู่ภายในและรับว่าเป็นเจ้าของคลินิก จึงเข้าตรวจค้น ภายในพบเครื่องมือแพทย์ เข็มฉีดยาที่บรรจุในซอง ใบเวชทะเบียนของคนไข้ที่มารักษาที่คลินิก ระบุชื่อนายวินัย มังคละเสถียร รวมถึงตัวยา ชื่อ DIFNAC ที่ใช้ฉีดให้กับผู้ตาย  จึงยึดมาตรวจสอบและเชิญนายวิทยา เจ้าของคลินิกดังกล่าวมาทำการสอบถามข้อเท็จจริงที่โรงพัก สภ.เมืองสมุทรปราการ
 
ข่าวอัพเดท :    รวบเจ้าของคลินิกฉีดยาแก้กล้ามเนื
 
            โดยนายวิทยา ได้อ้างว่า ตนเป็นเจ้าของคลินิกดังกล่าวจริงแต่ไม่ได้เป็นหมอ แต่ก็ทำหน้าที่ฉีดยาได้เนื่องจากตนเคยทำงานอยู่ในสถานพยาบาลมานานกว่า 10 ปีและลาออกมาเปิดคลินิกดังกล่าว แต่ไม่ได้รักษาเอง จะมีหมอหมุนเวียนกันมารนับการรักษา  อีกทั้งในวันที่เกิดเหตุ ตนได้เดินทางไปงานศพที่ จ.ขอนแก่น โดยที่คลินิกของตนจะมีผู้ช่วยพยาบาล อยู่ประจำคลินิกจำนวน 2 คน และเพิ่งกลับมาถึงคลินิกในเช้าของวันนี้และยังไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น กระทั้งถูกเจ้าหน้าที่เชิญมาสอบสวน ทั้งนี้ตนก็ยังไม่ทราบว่าลูกน้องทั้งสองคนหายไปไหน และก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนลงมือฉีดยาให้กับผู้ตายด้วย 
 
               ด้านนางสุภาวดี มังคละเสถียร ภรรยาและญาติของผู้ตาย ได้แวะเข้าพบพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเพื่อติดตามความคืบหน้า ชี้ยืนยันว่า คนที่ตรวจและฉีดยาให้สามีตน คือนายวิทยา และเป็นคนจัดยาแก้กล้ามเนื้ออักเสบจำนวน 3 ซอง และยาแก้แพ 1 ซอง ให้กับสามีตน ซึ่งได้นำถุงยาดังกล่าวมายืนยันเป็นหลักฐานด้วย ทำให้นายวิทยา เจ้าของคลินิกดังกล่าวจำนนต่อหลักฐาน และยอมรับสารภาพว่าตนเองเป็นคนฉีดยาให้ผู้ตายและเป็นคนจ่ายยาให้ผู้ตายกลับไปทานที่บ้านจริง ส่วนผลตรวจนั้นแพทย์ สถาบันติเวช ยังไม่สามารถระบุได้เนื่องจากศพถูกฉีดฟอร์มาลีนแล้ว แต่ต้องรอผลตรวจเนื้อเยื้ออีกครั้ง 
 
              ทางด้านนายรังสรรค์ วงษ์บุญหนัก เภสัชกรชำนาญการพิเศษ สสจ.สมุทรปราการ กล่าว สำหรับคลินิกดังกล่าวพบว่าได้รับอนุญาตถูกต้อง แต่แพทย์ผู้ดำเนินการได้ข้อแจ้งเลิกไปแล้ว แต่ยังมีการเปิดทำการรักษาตลอดมา ขณะเข้าตรวจยังพบหลักฐาน การรักษาพยาบาล เข็มฉีดยาที่ใช้แล้ว ประกอบกับทางภรรยาผู้ตายให้รูปพรรณสัณฐานตรงกับ นายวิทยา เจ้าหน้าที่จึงได้เชิญตัวมาที่ สภ.เมืองสมุทรปราการ สำหรับคลินิกดังกล่าว จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ที่ ทาง สสจ.สมุทรปราการ กำลังจะเข้าไปตรวจ เนื่องจากแพทย์มาแจ้งเลิกไปแล้ว แต่มาเกิดเหตุการณ์เสียก่อน ทั้งนี้เมื่อปี 58 นายวิทยา ก็เคยถูกแจ้งข้อหาไม่จัดให้มีแพทย์อยู่ประจำคลินิกมาแล้วครั้งหนึ่ง 
 
ข่าวอัพเดท :    รวบเจ้าของคลินิกฉีดยาแก้กล้ามเนื
 
              เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาเจ้าของคลินิกดังกล่าวว่า ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยทีมิได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตาม พรบ.ประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2525 มาตร 26 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท ส่วนสาเหตุการตายของสามีผู้เสียหายนั้นคงต้องรอผลการชันสูตรชิ้นเนื้อของผู้ตายก่อน หากการตายว่าเกี่ยวข้องกับการรักษาหรือไม่ หากพบว่าการตายเกี่ยวข้องกับการรักษาก็จะได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมว่า กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งมีโทษสูงสุดถึง 10 ปี ก่อนควบคุมตัวไว้ทำการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง