รวบแล้ว 2 คนร้ายใช้แก๊สความร้อนเป่าเจาะตู้เอทีเอ็มกรุงไทย ที่จ.อุดรธานี ฉกเงินเกือบ 2 ล้านบาท หลบหนี แต่ไปไม่รอด ตำรวจตามแกะรอยจากกล้องวงจรปิด รวบคาบ้านพัก สารภาพทำครั้งแรกตำรวจไม่ปักใจเชื่อ เพราะพฤติกรรมเหมือนมืออาชีพ
พล.ต.ท.จตุพล ปานรักษา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำของกลางที่สามารถตรวจยึดได้จาก นายพลธวัช หรือ โจ้ โคมทอง อายุ 30 ปี และ นายบี (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี ก่อเหตุใช้แก๊สความร้อน เป่าเจาะตู้ ATM ธนาคาร ก่อนจะฉกเอาเงินประมาณ 1 ล้าน 9 แสนบาทหลบหนีไปเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2560
ซึ่งของกลางที่ตรวจยึดได้ประกอบด้วย เงินสดธนบัตรชนิด 1000 บาท รวม 1,123,000 บาท รถยนต์ ซึ่งเป็นรถที่ใช้ก่อเหตุ ชะแลง ขนาดความยาว 70 ซม. 1 อัน ถังแก๊ส , ถังลม , ชุดสายแก๊สพร้อมหัวเป่า 1 รถจักรยานยนต์ 2, เอกสารการซื้อขายบ้านพร้อมที่ดิน มูลค่า 500,000 บาท 1 ชุด โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง สร้อยคอทองคำ 2 สลึง 2 เส้น , แหวนทอง 1สลึง 2 วง มูลค่าประมาณ 40000 บาท
โดย พล.ต.ท.จตุพล ปานรักษา ผบช.ภ.4 จากการสอบถามนายพลธวัชฯ รับสารภาพว่าตนได้ร่วมกับ นายบี (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นหลานชายก่อเหตุในครั้งนี้ โดยมูลเหตุจูงใจในครั้งนี้ นายพลธวัช เผยว่าเกิดจากการที่ตนถูกทวงค่างวดรถจากไฟแนนท์บ่อยครั้งซึ่งตนไม่ได้ชำระค่างวดรถมาจำนวนหลายงวด จึงเกิดความเครียดและต้องหาเงินไปชำระค่างวดรถดังกล่าว จึงได้ชักชวนหลานชายมาร่วมกันก่อเหตุ ซึ่งการตัดสินใจเลือกตู้เอทีเอ็มนี้เนื่องจากอยู่ใกล้บ้านของตนและตนได้สำรวจมาหลายครั้งแล้ว
หลังก่อเหตุนายพลธวัช ได้นำเงินไปซื้อบ้านพักราคา 500,000 บาท รถจักรยานยนต์ 120,000 บาท โทรศัพท์มือถือและใช้จ่ายในชีวิตประจำ จนกระทั่งถูกจับกุมครั้งนี้พร้อมของกลางดังกล่าว
อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของผู้ต้องหา เนื่องจากพฤติการณ์ดังกล่าวเหมือนมืออาชีพ เพราะมีการตัดสัญญาณของตู้เอทีเอ็ม ทำให้ไม่เกิดสัญญาณเตือน กระทั่งธนาคารสาขาใหญ่พบความผิดปกติ สัญญาณขาดหายจึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและพบว่าตู้เอทีเอ็มถูกทำลาย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการสืบสวนสอบสวนเพื่อขยายผลต่อ หากพบใครมีส่วนเกี่ยวข้องก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทั้งหมด