ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนจำคุก นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาธิปัตย์, นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ และนายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ดำเนินรายการ 'สายล่อฟ้า' ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกาย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา และดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติงาน คนละ 1 ปี ปรับคนละ 5 หมื่นบาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ในคดีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นฟ้องทั้งสามคน เนื่องจากเมื่อวันที่ 10 และ 15 กุมภาพันธ์ 2555 ทั้งสามร่วมกันจัดรายการ 'สายล่อฟ้า' โดยมีเนื้อหาหมิ่นประมาทใส่ความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำนองว่าไม่เข้าร่วมภารกิจประชุมของรัฐสภา เพราะน่าจะเดินทางไปกระทำภารกิจ ว.5 ที่โรงแรมโฟรซีซั่น
ทั้งนี้ เมื่อจำเลยทั้งสามคนยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่า จำเลยปฎิบัติหน้าที่เป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ย่อมมีหน้าที่ตรวจสอบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินหรือเรื่องส่วนตัว ศาลเห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะซึ่งสามารถที่จะตรวจสอบได้ แต่การตรวจสอบต้องกระทำอยู่ภายใต้กฎหมาย หากการตรวจสอบกระทำไปโดยไม่คำนึงถึงผลที่เกิดและเผยแพร่ไปยังสื่อมวลชน ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับความเสียหาย และอาจสร้างความเสียหายไปถึงกระบวนการยุติธรรมได้ อีกทั้งการจัดรายการของจำเลยทั้งสามมีการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายพิเศษ ที่แสดงให้คนทั่วไปเห็นว่า การกระทำของโจทก์เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมทางเพศ
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า คำฟ้องโจทก์เป็นการนำข้อความของจำเลยคนละช่วงในการจัดรายการมาปะปนกัน และเป็นการคาดคะเนของโจทก์เอง ศาลเห็นว่า การฟ้องโจทก์จำเป็นต้องนำข้อความในส่วนที่มีลักษณะหมิ่นประมาทโจทก์มายื่นฟ้อง การยื่นฟ้องดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นการตัดต่อข้อความ ซึ่งศาลจะเป็นผู้พิจารณาข้อความทั้งหมดเหมือนการอ่านหนังสือหรือชมภาพยนตร์ทั้งเรื่อง ไม่ได้มีการพิจารณาเฉพาะข้อความบางท่อน
ส่วนที่จำเลยอ้างว่า เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตเพื่อให้โจทก์ออกมาชี้แจงเหตุการณ์ที่ไปปฎิบัติภารกิจในวันดังกล่าว ศาลมองว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตแต่ลักษณะการพูดเป็นการชี้นำในรายการ ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับที่จำเลยอ้าง ส่วนที่จำเลยยังอุทธรณ์อีกว่า หากมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงถึงการทำภารกิจของโจทก์ร่วมในวันเกิดเหตุดังกล่าว จะเป็นเหตุไม่ต้องรับโทษเนื่องจากเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะนั้น ศาลเห็นว่า จำเลยไม่ได้นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวในการต่อสู้คดี ที่จำเลยอุทธรณ์มานั้นยังรับฟังไม่ได้
ส่วนที่โจทก์ขอให้มีการลงโทษจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ นั้นศาลเห็นว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวตัวโจทก์เองก็ไม่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุให้กระจ่าง การกระทำของจำเลยต้องการให้โจทกออกมาชี้แจงเรื่องภารกิจในวันดังกล่าว การกระทำเป็นเจตนาดีสมควรให้รอการลงโทษ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามา ศาลอุทธรณ์จึงเห็นพ้องด้วยให้พิพากษายืน
+ อ่านเพิ่มเติม