เริ่มอภิปรายไม่ไว้วางใจ อภิสิทธิ์ – ยิ่งลักษณ์ โต้ประเด็นคอรัปชั่น
logo ข่าวอัพเดท

เริ่มอภิปรายไม่ไว้วางใจ อภิสิทธิ์ – ยิ่งลักษณ์ โต้ประเด็นคอรัปชั่น

8,256 ครั้ง
|
26 พ.ย. 2556

ผู้นำฝ่านค้านตั้งข้อกล่าวหานายกรัฐมนตรีมีพฤฒิกรรมทุจริตคอรัปชั่นผ่านโครงการต่างๆของรัฐบาล จี้ชี้แจงคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน ขณะที่นายกรัฐมนตรียันยึดหลักประชาธิปไตยบริหารประเทศ โต้ไม่เคยคิดคอรัปชั่น ไม่จำเป็นต้องแจงคดียึดทรัพย์อีกเพราะคดีได้ถึงที่สุดไปแล้ว

 

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน เปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกนัฐมนตรี โดยระบุว่า นายกรัฐมนตรีมีพฤติกรรมทุจริตคอรัปชั่น ในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง จากการเดินหน้า พ.ร.ก.กู้เงินโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท โครงการรับจำนำข้าว โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ที่ล้วนมีความพยายามให้เกิดการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบตามกระบวนการ รวมถึงมีความพยายามในการแก้กฏหมาย โดยเฉพาะพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่ทำให้กลายเป็นวิกฤตประเทศอยู่ในขณะนี้

 

นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีมีส่วนรู้เห็นกับการออกกม.ฉบับนี้เพราะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์โดยตรงในการได้รับเงินคืน หากกม.มีผลบังคับใช้จากการยกเลิกคดีความผิดทั้งหมดในคตส. โดยเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีชี้แจงข้อเท็จจริงการชี้แจงต่อศาลในคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน

 

ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ขอให้นายกรัฐมนตรีรีบตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งหลังเสร็จการอภิปรายฯเพื่อนำประเทศให้พ้นวิกฤตที่เกิดขึ้นพร้อมกับระบุว่าวันนี้หมดเวลากับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนี้แล้ว ไม่ขอไว้วางใจให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป

 

จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้ลุกขึ้นชี้แจง ว่าพร้อมแจงทุกข้อกล่าวหาที่บรรจุอยู่ในญัตติ แต่ในส่วนของข้อกล่าวหาที่รุนแรง ไม่เป็นธรรมทั้งในเรื่องของการทุจริตต่อหน้าที่และจงใจฝ่าผืนบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ถูกกล่าวหาจำเป็นต้องได้รับทราบข้อกล่าวหาเพื่อให้สามารถชี้แจงได้ครบถ้วน เปรียบได้กับการทำงานจองเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาได้รับทราบ แต่ฝ่ายค้านกลับเพิ่งส่งเนื้อหารายละเอียดให้ในวันนี้ ซึ่งก็จะพยายามตอบข้อซักถามให้ได้มากที่สุด

 

นายกรัฐมนตรีบอกว่าตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ต้องเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจโลกทั้งสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป แต่รัฐบาลก็สามารถทำให้จีดีพีของประเทศในปี 2555 ขยายตัว 6.5% และทำให้รายได้ต่อหัวของประชากรเพิ่มขึ้น พร้อมกับยืนยันว่าไม่ได้มีพฤฒิกรรมส่อทุจริตตามที่กล่าวหา ซึ่งดัชนีชีวัดภาพลักษณ์ของประเทศในเรื่องคอรัปชั่นในปี 55 ดีขึ้นจากปี 54

 

นายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาลบริหารประเทศโดยยึดหลัก กติกาตามระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ใช้ความอดทนในการดูแลประชาชน ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ส่วนข้อเท็จจริงในคดียึดทรัพย์นั้น คดีได้ถึงที่สุดและมีผลบังคับใช้ให้ตกเป็นเงินแผ่นดินไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องชี้แจงข้องเท็จจริงในระหว่างการต่อสู้คดีอีก ขณะที่พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็ไม่มีเนื้อหาส่วนไหนที่ระบุว่าเป็นกม.การเงิน อีกทั้งวุฒสภาก็ได้มีมติไม่รับร่างฯไปแล้ว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง