หลาย ๆ คนคงโตมากับการดื่มนมทุกเช้าที่โรงเรียนตั้งแต่ประถมต้นจนถึงประถมปลาย แถวปิดเทอมยังได้นมกลับบ้านกันอีกเป็นสิบ ๆ กล่อง แต่ทำไมกระเพาะของเรายังปรับตัวไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะดื่มนมวัวทีไรท้องเสียทุกที ยิ่งตอนท้องว่าง ๆ เตรียมมองหาห้องน้ำรอได้เลยในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
จริง ๆ คนไทยส่วนมากไม่ได้ท้องเสียเพราะนมวัว แต่เป็นเพราะสิ่งที่เรียกว่า “แล็กโทส” ที่อยู่ในนมวัวและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต่างหากที่เป็นต้นเหตุของอาการท้องเสีย หากได้รับแล็กโทสเข้าไปแล้วร่างกายมีภาวะพร่องเอนไซม์แลคเตส จะทำให้ไม่สามารถย่อยแล็กโทสได้ แล็กโทสจะถูกลำไส้ใหญ่ดูดซึมส่งผลให้เกิดกระบวนการที่เกิดเป็นแก๊สและของเหลวภายใน จนสุดท้ายจะทำให้มีอาการท้องอืด ปวดท้อง และท้องเสียในที่สุด
แล้วทำไมกระเพาะของคนไทยถึงแพ้ให้กับแล็กโทสกันนะ ?
ข้อมูลจากกรมอนามัยเผยว่า คนไทยดื่มนมเพียง 21.5 ลิตร/คน/ปี นอกจากนี้ประเทศในโซนเอเชียมีค่าเฉลี่ยพอ ๆ กับคนไทย ซึ่งต่างกับโซนยุโรปที่มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าหลายเท่าตัว ยกตัวอย่างเช่น ประเทศออสเตรเลียที่มีค่าเฉลี่ยสูงถึง 93.6 ลิตร/คน/ปี
จากวารสารของ Nature กล่าวว่า คนเอเชียเริ่มดื่มนมช้ากว่าชาวตะวันตกมาก โดยชาวตะวันตกเริ่มดื่มนมประมาณ 9,000 ปีที่แล้วทำให้ร่างกายมีการปรับตัวจนสามารถผลิตเอนไซม์แลคเตสได้ ส่วนคนเอเชียเพิ่งเริ่มดื่มในช่วงที่ตะวันตกเริ่มเข้ามาเผยแพร่อาณานิคมจึงทำให้พันธุกรรมของคนเอเชียยังไม่สามารถผลิตเอนไซม์แลคเตสได้หรือเพียงพอที่จะย่อยแล็กโทสนั่นเอง
แต่ในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์และการอาหาร ทำให้คนที่ชอบดื่มนมวัวได้ดื่มนมวัวอย่างสบายใจแล้วเพราะมีทางเลือกอื่น ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นนมวัวแบบไม่มีแล็กโทส (Lactose Free) นมอัลมอนด์ นมมะพร้าว นมถั่วเหลือง หรือจะเป็นนมวัวในรูปแบบอื่น เช่น ชีส นมเปรี้ยว โยเกิร์ต
เพียงแค่นี้เราก็สามารถสบายใจกับการเลือกดื่มนมวัวได้โดยที่ไม่ต้องระแวงอีกแล้วว่าจะท้องเสียหรือเปล่า และไม่ต้องกลัวว่าจะขาดสารอาหารที่อาจไม่ได้รับจากนมอีกด้วย แต่ยังไงก็ขอให้ทุกคนรับประทานแต่พอดีไม่มากเกินไปจนกลายเป็นผลเสียต่อร่างกายแทนล่ะ !
ที่มา : Urbancreature, Adaymagazine