คลอดธรรมชาติกับผ่าคลอด ต่างกันอย่างไร แบบไหนดีกว่า ?
logo ข่าวอัพเดท

คลอดธรรมชาติกับผ่าคลอด ต่างกันอย่างไร แบบไหนดีกว่า ?

ข่าวอัพเดท : คุณแม่มือใหม่ หรือคุณแม่ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการคลอดมักจะสงสัยว่า “การคลอดธรรมชาติ” หรือ “การผ่าคลอด” แบบไหนที่จะเจ็บน้อยกว่า ห คลอดธรรมชาติ,ผ่าคลอด,ทางเลือกคลอดลูก,คลอดวิธีไหนดี,คลอดลูก

603 ครั้ง
|
05 ต.ค. 2566
คุณแม่มือใหม่ หรือคุณแม่ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการคลอดมักจะสงสัยว่า “การคลอดธรรมชาติ” หรือ “การผ่าคลอด” แบบไหนที่จะเจ็บน้อยกว่า หรือเป็นวิธีคลอดที่เหมาะกับตน เรื่องนี้ คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรกังวลมากเกินไป เพราะก่อนถึงกำหนดคลอด แพทย์ผู้ดูแลจะมีการวางแผนการคลอดที่เหมาะสมให้กับคุณแม่ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของคุณแม่และลูกในครรภ์เป็นอันดับแรก ทั้งนี้ คุณแม่ก็อาจมีตัวเลือกที่เลือกได้ทั้งสองแบบ หรือจำเป็นต้องคลอดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งเพื่อความปลอดภัย
 
คลอดธรรมชาติหรือผ่าคลอด ต่างกันอย่างไร แบบไหนดีกว่า ?
คลอดธรรมชาติ เป็นวิธีที่เหมาะกับคุณแม่ที่ไม่มีความเสี่ยง มีสุขภาพที่สมบูรณ์ และมีภาวะแทรกซ้อนน้อยในขณะตั้งครรภ์ โดยแผลที่เกิดจากการคลอดธรรมชาติจะมีขนาดเล็ก และสมานตัวได้เร็วกว่าแผลผ่าตัดคลอด โอกาสที่จะติดเชื้อหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังคลอดก็น้อยกว่า รวมทั้งการฟื้นตัวก็จะเร็วกว่า ส่งผลให้หลังคลอด คุณแม่จะเจ็บหรือปวดบริเวณแผลคลอดเพียงเล็กน้อย สามารถเคลื่อนไหวร่างกายหรือขยับตัวหลังคลอดได้อย่างคล่องตัวแทบจะทันที ไม่ว่าพลิกตัว จะลุก จะนั่ง หรือจะเดิน ก็ทำได้สะดวก
 
ผ่าตัดคลอด เป็นวิธีที่เหมาะกับคุณแม่ที่ไม่สามารถคลอดเองได้ตามธรรมชาติ หรือมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น สายสะดือย้อย รกต่ำกว่าปกติ หรือรกลอกตัวก่อนกำหนด ซึ่งการผ่าตัดคลอดจะใช้ระยะเวลาในการคลอดสั้นกว่าการคลอดธรรมชาติ และมีขนาดแผลหรือรอยแผลเป็นที่ต่างกับการคลอดธรรมชาติ อีกทั้งการผ่าตัดคลอดจะลดความเสี่ยงเรื่องหัวใจทารกเต้นผิดปกติในช่วงรอคลอดได้ ซึ่งพบได้จากหลายสาเหตุ เช่น สายสะดือโดนกดทับหลังจากการมีน้ำเดิน ออกซิเจนในเลือดของเด็กต่ำ โดยมักพบในทารกที่มีน้ำหนักเกินกำหนดหรือมีภาวะรกเสื่อม แต่คุณแม่ที่ใช้วิธีผ่าตัดคลอด หลังจากที่คลอดแล้วจะต้องดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้แผลหลังผ่าตัดคลอดเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้
 
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญในการเลือกวิธีคลอดทั้ง 2 แบบ จะต้องผ่านการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน ซึ่งควรเตรียมการตั้งแต่การตั้งครรภ์เข้าสู่ไตรมาสที่ 3 เพื่อพิจารณาเลือกวิธีการคลอดที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับคุณแม่เป็นรายบุคคล
 
คลอดธรรมชาติหรือผ่าคลอด แบบไหนเจ็บกว่า ?
คุณแม่หลายคนสงสัยกันใช่ไหมว่า คลอดธรรมชาติหรือผ่าคลอดแบบไหนจะเจ็บกว่ากัน เพราะการคลอดแต่ละแบบก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ไม่เหมือนกัน เช่น การคลอดแบบธรรมชาติจะไม่สามารถกำหนดวันหรือเวลาในการคลอดที่เจาะจงได้ และใช้เวลาในการคลอดนาน คุณแม่บางคนอาจมีช่วงเวลาที่เจ็บท้องนานหลายชั่วโมง เนื่องจากมดลูกมีการบีบตัวเป็นระยะๆ และต้องรอให้มดลูกเปิดตัวกว้างมากพอจึงจะคลอดได้ แต่หลังคลอดจะเจ็บน้อยกว่าการคลอดแบบผ่าคลอด เพราะแผลจะอยู่ภายนอกและขนาดแผลก็เล็กกว่า ส่วนการผ่าคลอดจะสามารถกำหนดวันและเวลาได้ค่อนข้างชัดเจน ไม่ต้องรอให้ปวดท้องคลอด และใช้เวลาในการคลอดประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมงเท่านั้น แต่หลังจากคลอดแล้วจะต้องเจ็บแผลผ่าตัดไปอีกระยะหนึ่ง
 
ข้อดีของการคลอดธรรมชาติ
ในการคลอดธรรมชาติเป็นการคลอดที่ทารกจะผ่านออกมาทางช่องคลอด ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยรุ่นคุณปู่คุณย่า โดยการคลอดแบบนี้มีข้อดีอยู่หลายอย่าง เช่น 
• ขนาดแผลที่เล็ก  บางคนอาจสงสัยว่าทำไมคลอดเองถึงยังต้องมีแผล คุณหมออธิบายว่า “เพราะว่าการคลอดธรรมชาติโดยท้องแรกนั้น ปากช่องคลอดจะมีความยืดหยุ่นไม่เยอะเท่าคนที่เคยผ่านการคลอดมาแล้ว จึงทำให้มีแผลที่ฝีเย็บเพื่อช่วยเปิดช่องทางคลอด ซึ่งส่วนใหญ่แผลจะอยู่ที่ประมาณ 2-4 เซ็นติเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสรีระของคุณแม่และขนาดของทารกด้วย”
• มีระยะฟื้นตัวเร็ว เนื่องจากขนาดของแผลที่เล็ก ส่งผลให้คุณแม่ไม่ได้มีอาการเจ็บมากเหมือนอย่างการผ่าตัดทำคลอด คุณแม่จึงสามารถเคลื่อนไหว ลุก นั่ง เดิน ได้คล่อง การฟื้นตัวก็รวดเร็ว
• ลดภาวะเสี่ยงได้ ทุกครั้งที่มีการเคลื่อนผ่านของตัวทารกผ่านทางช่องคลอด จะมีการรีดน้ำในช่องอกของทารก ทำให้ช่วยลดภาวะการหายใจเร็วหรือเหนื่อยหอบหลังจากที่คลอดได้
• เสริมสร้างภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง คุณหมออธิบายว่า “การคลอดทางช่องคลอดนั้นมีการศึกษาว่าทารกจะได้รับ Probiotic มากกว่าการผ่าคลอดทางหน้าท้อง จึงเป็นเหมือนการเสริมสร้างภูมิของทารกในครรภ์ ที่เมื่อคลอดแล้วก็จะมีภูมิอย่างต่อเนื่อง”
 
ข้อเสียของการคลอดธรรมชาติ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าการคลอดธรรมชาติจะมีแต่ข้อดีเพียงอย่างเดียว เพราะการที่คุณแม่เลือกที่จะคลอดเองนั้น ก็ยังคงมีสิ่งที่คุณแม่ต้องคำนึงถึงเช่นกันก่อนตัดสินใจ
• ไม่สามารถกำหนดเวลาคลอดได้  เวลาในที่นี่คือวัน เวลาที่จะคลอด ซึ่งไม่สามารถจะกำหนดได้ว่าอยากให้ลูกคลอดในวันไหนของสัปดาห์ วันที่เท่าไหร่ของเดือน หรือเวลาช่วงไหนของวัน เพราะทุกอย่างไม่สามารถกำหนดเป๊ะๆ ได้ ต้องรอวันที่คุณแม่รู้สึกเจ็บท้องและปากมดลูกเปิดเต็มที่จึงจะคลอดได้
• ต้องรอเวลาคลอด ไม่ใช่ว่าเจ็บท้องมาโรงพยาบาลแล้วจะคลอดได้เลย เพราะในการคลอดนั้นมีทั้งระยะเฉื่อยและระยะเร่ง บางคนเจ็บท้องมาโรงพยาบาลแต่ยังอยู่ในระยะเฉื่อย ปากมดลูกเปิดแค่ 3-4 เซ็นติเมตร ก็แปลว่าอย่างน้อยต้องรออีก 4-5 ชั่วโมงเพื่อรอให้ปากมดลูกเปิดถึง 10 เซ็นติเมตร แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการหดรัดตัวของมดลูก ความกว้างของเชิงกราน น้ำหนักตัวและขนาดของทารก ว่าสามารถลอดผ่านทางช่องคลอดทางเชิงกรานได้หรือไม่
• มีการยืดหย่อนของกระบังลม การคลอดทางช่องคลอดทำให้มีการยืดหย่อนของเส้นเอ็นเกี่ยวพันต่างๆ ในอุ้งเชิงกรานหรือเรียกว่ากระบังลม แต่อย่างไรก็ตามการคลอดลูกเองเพียงครั้งเดียวอาจไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล หากเทียบกับรายที่คลอดมาแล้วหลายครั้งซึ่งอาจทำให้มีโอกาสยืดหย่อนได้มากกว่า
 
 
ข้อดีของการผ่าคลอด
ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้คุณแม่มีทางเลือกเพิ่มมากขึ้นในการคลอดลูก รวมถึงการต้องการกำหนดวันเวลาที่แน่นอนและอื่นๆ จึงเป็นที่มาว่าทำไมคุณแม่หลายคนเลือกวิธี “ผ่าคลอด”
• กำหนดเวลาได้ การคลอดแบบนี้อาจกำหนดวันได้ชัดเจนกว่าการคลอดแบบธรรมชาติ สามารถเลือกวันเวลาได้ แต่ถึงจะมีฤกษ์ก็ต้องดูความพร้อมและความแข็งแรงของทารกเป็นหลักด้วยเช่นกัน ซึ่งระยะเวลาที่เหมาะสมอย่างน้อยต้องเกิน 38 สัปดาห์ขึ้นไป เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนในการหายใจของทารกในครรภ์
• ไม่ต้องรอคลอดนาน เนื่องจากวิธีคลอดแบบนี้ไม่ต้องรอให้ปากมดลูกเปิดเหมือนอย่างการคลอดธรรมชาติ คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ต้องคอยนานเป็นครึ่งวันเพื่อที่จะเห็นหน้าลูกน้อย โดยการผ่าตัดคลอดนั้นอาจใช้เวลาเพียงแค่ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมงก็ได้เห็นหน้าลูกแล้ว
• ลดการยืดหย่อนของเชิงกราน คุณหมออธิบายว่าแรงแบ่งของคุณแม่ในการคลอดแบบธรรมชาตินั้นจะส่งผลต่อการยืดของกระบังลมของเชิงกรานหรือเส้นเอ็นยึด ในขณะที่การผ่าคลอดจะสามารถช่วยลดแรงเบ่งที่ทำให้เกิดปัญหานี้ได้
 
 
ข้อเสียของการผ่าคลอด
ถึงจะเป็นวิธีที่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ แต่การผ่าคลอดนั้นก็ยังมีผลเสียที่คุณแม่อาจจะต้องหนักใจอยู่ไม่น้อย
• มีแผลกวนใจ ในการผ่าคลอดนั้นคุณแม่จะมีแผลที่หน้าท้องจากการผ่าตัด แต่ในปัจจุบันจะเห็นเป็นแนวบิกินี่ไลน์ ซึ่งต้องมีความกว้างมากพอให้ศีรษะทารกผ่านได้ โดยปกติจะอยู่ที่ 12-15 เซ็นติเมตร ขึ้นอยู่กับความชำนาญของแพทย์
• เสี่ยงแพ้ยา เนื่องจากเป็นการผ่าตัดจะต้องมีการดมยาสลบ โดยส่วนใหญ่ใช้การบล็อกหลังให้กับคุณแม่เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งการบล็อกหลังนั้นจะทำให้คนไข้มีความเสี่ยงต่อการใช้ยาได้
• เสียเลือดมาก ตามทฤษฎีแล้วการผ่าคลอดจะมีการเสียเลือดมากกว่าการคลอดธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ตามด้วยเทคโนโลยีและความชำนาญของแพทย์ก็อาจทำให้เสียเลือดหลังคลอดน้อยลงได้
• ทารกเสี่ยงภาวะหายใจเร็ว เพราะการผ่าคลอดนั้นจะไม่มีการหดรัดตัวของช่องคลอด ทำให้ไม่สามารถรีดน้ำในช่องอกของทารกได้เหมือนอย่างการคลอดผ่านทางช่องคลอด ซึ่งในช่องอกของทารกนั้นจะมีน้ำอยู่จำนวนหนึ่ง ทำให้บางรายอาจมีภาวะหายใจเร็วหลังคลอด แต่ถึงอย่างไรภาวะนี้ก็ไม่ได้เป็นภาวะรุนแรง หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนและมีโอกาสหายไปได้เองในภายหลัง
 
ที่มา