สหรัฐฯ พบ หญิงรายแรกหายขาดจาก HIV จากการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์
logo ข่าวอัพเดท

สหรัฐฯ พบ หญิงรายแรกหายขาดจาก HIV จากการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์

ข่าวอัพเดท : สหรัฐฯ พบผู้ป่วย HIV หญิงรายแรก และเป็นรายที่ 3 ของโลก ที่ได้รับการรักษาจนหายขาด จากการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ไม่พบเชื้อมาแล้วกว่า 14 เดือน hiv,เชื้อhiv,หายขาดจากhiv,ปลูกถ่ายสเต็มเซลล์,สหรัฐอเมริกา

1,076 ครั้ง
|
18 ก.พ. 2565

สหรัฐฯ พบผู้ป่วย HIV หญิงรายแรก และเป็นรายที่ 3 ของโลก ที่ได้รับการรักษาจนหายขาด จากการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ไม่พบเชื้อมาแล้วกว่า 14 เดือน

 

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 สำนักข่าว BBC รายงานว่า ผู้มีเชื้อ HIV รายหนึ่งในสหรัฐฯ ได้รับการรักษาจนหายขาด ซึ่งเป็นรายที่ 3 ของโลก และเป็นผู้หญิงรายแรกที่หายขาด ซึ่งผู้มีเชื้อคนดังกล่าวได้รับการรักษาโรคที่ต้องใช้การเปลี่ยนถ่ายสเตมเซลล์ในการรักษา โดยสเต็มเซลล์ทีได้รับมาบังเอิญเป็นสเต็มเซลล์ของผู้ที่มีภูมิต้านทานโดยธรรมชาติต่อไวรัส HIV นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเมื่อรับเลือดนี้แล้วร่างกายของผู้รับก็ตอบสนองด้วยการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันจนต้านไวรัส HIV ได้สำเร็จ ทำให้ผลออกมาหญิงคนดังกล่าวไม่พบไวรัสติดต่อกันมา 14 เดือนแล้ว

แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าวิธีการดังกล่าวไม่สามารถถอดบทเรียนมาใช้รักษาคนโนวงกว้างได้ เนื่องจากวิธีการปลูกถ่ายนั้นเกี่ยวข้องกับการใช้เลือดจากรกซึ่งมีความเสี่ยงสูง หญิงคนดังกล่าวใช้วิธีนี้เพื่อรักษาโรคมะเร็ง และหลังจากนั้นก็ไม่ต้องรับการดูแลเฉกเช่นผู้มีเชื้อ HIV ทั่วไปต้องได้รับการดูแลอีกเลย

ความสำเร็จนี้ถูกนำเสนอที่เวทีสัมมนาวงการแพทย์ในเมืองเดนเวอร์ สหรัฐอเมริกาเมื่อวันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา และเป็นครั้งแรกที่ทราบว่าวิธีนี้สามารถใช้เป็นการรักษา HIV ได้

ขณะนี้สหรัฐอเมริกาเริ่มขยายการศึกษาผู้มีเชื้อ HIV ที่ได้รับการปลูกถ่ายเลือกเพื่อรักษาโรคร้ายต่าง ๆ มาช่วงหนึ่งแล้ว หลังเมื่อปี 2550 พบชายรายแรกที่รักษา HIV ได้หายขาดจากการได้รับการปลูกถ่ายจากผู้บริจาคที่มีเชื้อต้าน HIV โดยธรรมชาติ

ที่ผ่านมา HIV เป็นไวรัสตัวหนึ่งที่พบการรักษาให้หายขาดได้ยากนัก ที่ผ่านมาพบเพียง 3 รายทำให้เมื่อพบผู้ที่ได้รับการรักษาหายแต่ละครั้งเป็นที่เฉลิมฉลองกัน ขณะนี้มีผู้อยู่กับเชื้อ HIV กว่า 37 ล่านราย โดยมากที่สุดอยู่ในภูมิภาคซับซาฮาราของแอฟริกา 

แม้จะมีผู้รักษาจนหายขาดแค่ 3 รายแต่ขณะนี้มีการพัฒนายาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูงจนทำให้ผู้ที่ดูแลร่างกายและทานยาอย่างสม่ำเสมอใช้ชีวิตไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ไม่มีไวรัส

 

ที่มา :: WorkpointTODAY