‘สธ.’ ห่วงอาการข้างเคียงเด็กเข้ารับวัคซีน แนะผู้ปกครองดูแลงดกิจกรรมใช้แรง 7 วัน
logo ข่าวอัพเดท

‘สธ.’ ห่วงอาการข้างเคียงเด็กเข้ารับวัคซีน แนะผู้ปกครองดูแลงดกิจกรรมใช้แรง 7 วัน

404 ครั้ง
|
10 ก.พ. 2565

สธ.ห่วงอาการข้างเคียงเด็กอายุ 5-11 ปีที่จะเข้ารับวัคซีน หากมีไข้ควรรักษาตัวให้หายก่อน วอนผู้ปกครองมั่นใจความปลอดภัย พร้อมแนะให้งดกิจกรรมใช้แรง 7 วัน

 

วันที่ 9 ก.พ. 2565 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า เด็กอายุ 5-11 ปี ที่เข้ารับการฉีดวัคซีน หากเด็กมีอาการป่วย มีไข้ ร่างกายอ่อนเพลีย ควรรักษาอาการให้หายจนกว่าจะเป็นปกติ ส่วนเด็กที่มีโรคประจำตัวรุนแรง อาการยังไม่คงที่ อาจมีอันตรายถึงชีวิต จึงควรเข้ารับการประเมินอาการจากแพทย์ประจำตัวก่อนเข้ารับการฉีด

 

สำหรับ อาการที่พบได้หลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์ คือ ปวด บวม แดง เฉพาะที่ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เป็นไข้ จึงจำเป็นต้องสังเกตอาการหลังการฉีดอย่างน้อย 30 นาที ในสถานที่ฉีดวัคซีนด้วยเสมอ และอาการดังกล่าว สามารถหายได้เองเมื่อรับประทานยาลดไข้และพักผ่อนให้เพียงพอ และหลังฉีดวัคซีน 1 สัปดาห์ ผู้ปกครองควรดูแลไม่ให้บุตรหลานออกกำลังกาย ปีนป่าย ว่ายน้ำ หรือกิจกรรมที่ใช้แรงมาก เป็นระยะเวลา 7 วัน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนหากเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

 

ทั้งนี้ หากเกิดอาการรุนแรงหลังรับวัคซีน ได้แก่ เจ็บหน้าอก หายใจเร็ว เหนื่อยง่าย ใจสั่น ไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส ปวดหัวรุนแรง อาเจียน ทานอาหารไม่ได้ หรือซึมไม่รู้สึกตัว ควรพบแพทย์ทันที ซึ่งในแต่ละพื้นที่ได้เตรียมความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์ และกุมารแพทย์ในการตรวจวินิจฉัย รักษาและการติดตามผลข้างเคียงหลังการฉีดวัคซีน จึงขอให้ผู้ปกครองมั่นใจในเรื่องของความปลอดภัย ตามนโยบายการฉีดวัคซีนให้เด็กถ้วนหน้าให้ดีที่สุด ที่ยึดประโยชน์ของผู้ปกครองและประชาชนไทยทุกคนเป็นสำคัญ

 

อย่างไรก็ตาม ขอฝากผู้ปกครองและครูดูแลเรื่องการป้องกันตนเองจากโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยเน้นการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ หลังเวลาเล่นหรือเมื่อทำกิจกรรมในชั้นเรียน และทำความสะอาดร่างกายเมื่อกลับถึงบ้าน

 

ขณะที่ วัคซีนไฟเซอร์สูตรสำหรับเด็ก (Pediatric formulation dose) บรรจุในขวดแก้วฝาขวดและฉลากสีส้มเริ่มใช้ในเด็กอายุตั้งแต่ 5-11 ปี ตามแผนการจัดสรร คือ ฉีดในสถานพยาบาล สำหรับเด็กที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค คือ 1) โรคอ้วน 2) โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งโรคหืดหอบ 3) โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง 4) โรคไตวายเรื้อรัง 5) โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ 6) โรคเบาหวาน และ 7) กลุ่มโรคพันธุกรรมรวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง และเด็กที่มีพัฒนาการช้า รวมทั้งกลุ่มเด็กที่เรียนในระบบโฮมสคูล และกลุ่มที่อยู่นอกระบบการศึกษา

 

และการให้บริการฉีดในโรงเรียน สำหรับนักเรียนปฐมวัย และชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 โดยเริ่มบริการฉีดในนักเรียน ชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 6 ก่อนเป็นลำดับแรก และชั้นปีอื่นถัดลงไปตามลำดับ สำหรับปริมาณการฉีด คือ 0.2 มิลลิลิตร หรือ 10 ไมโครกรัม วัคซีน 1 ขวดเมื่อเจือจางด้วยสารละลายโซเดียมคลอไรด์ 0.9% ก่อนใช้ สามารถฉีดได้ 10 โดส โดยเว้นระยะเวลาการฉีดห่างกันระหว่าง 3-12 สัปดาห์