ย้อนความสัมพันธ์-คำสอน 'มิน อ่อง หล่าย' นายพลเมียนมา นำรัฐประหาร ลูกบุญธรรม 'ป๋าเปรม' รัฐบุรุษผู้ล่วงลับ
สิ่งที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองดูอยู่นอกเหนือจากสถานการณ์โควิด-19 นั้น ก็ต้องบอกว่าคงหนีไม่พ้นสถานการณ์ทางการเมืองของเมียนมา ที่กำลังตึงเครียด หลังจากที่ 'มิน อ่อง หล่าย' นำกองทัพยึดอำนาจรัฐบาล ภายใต้การบริหารของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ เอ็นแอลดี
ก่อนออกมาแถลงครั้งแรก ว่า การยึดอำนาจในครั้งนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ระบุกองทัพได้ร้องเรียนเรื่องการโกงเลือกตั้งหลายครั้ง แต่ถูกเพิกเฉย ทางกองทัพยายามที่จะปกป้องเกียรติของชาติและประชาชน
Photo : AP News
พร้อมตั้งความผิดด้านวิทยุสื่อสารแก่ นางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งชาติ ขณะที่ ประธานาธิบดีวิน มินต์ ผู้นำพม่า ถูกแจ้งข้อหาละเมิดมาตรการเว้นระยะทางสังคม หลังเดินทางไปลงพื้นที่หาเสียงเมื่อปี 2563 ซึ่งเรื่องนี้ทำให้หลายประเทศการออกมาโจมตีการใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม หนึ่งในนั้นคือ ผู้นำสหรัฐ 'โจ ไบเดน'
ด้านประชาชนชาวเมียนมารวมถึงศิลปิน นักแสดง ที่มีขื่อเสียง รวมถึงบุคคลากรทางการแพทย์ต่างออกมาแสดงอารยะขัดขืนต่อการกระทำของกองทัพในครั้งนี้ จนกลายเป็นที่ฮือฮามากในเวลานี้
จากการนำกองทัพก่อรัฐประหารโค่น อองซาน ซูจี ทำให้ชื่อของ มิน อ่อง หล่าย ถูกพูดถึงและได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
อีกหนึ่งสิ่งที่ถูกพูดถึงในประเทศไทยคือ ความสัมพันธ์ระหว่าง พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ที่หลายคนคงจำได้ว่าถือเป็นหนึ่งในบุตรบุญธรรมของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ หรือ ป๋าเปรม อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษผู้ล่วงลับของไทย
Photo : AP News
ที่มาที่ไปของความสัมพันธ์นี้นั้น มิน อ่อง หล่าย เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ เมื่อครั้งเดินทางมากราบศพ ป๋าเปรม วันที่ 31 พ.ค. 2562 ว่า ก่อนจะเป็นผบ.ทสส.ไม่เคยได้เข้าพบพล.อ.เปรม เลย จนกระทั่งได้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทสส. เมื่อปี 2555 ที่ตนมาเยี่ยมเยือนที่กองบัญชาการกองทัพไทย ได้เข้าเยี่ยมคำนับพล.อ.เปรม เป็นครั้งแรกก็มีความรู้สึกที่ดีต่อกัน โดยอายุของท่านนั้นห่างจากพ่อของตนเพียง 1 ปี และพ่อของตนได้เสียชีวิตเมื่อปี 2545
และหลังจากนั้น 10 ปี ตนก็ได้พบกับ พล.อ.เปรม ได้นั่งเคียงข้างกัน ได้จับมือกัน ถ้ามีเรื่องอะไรที่สำคัญก็จะจับมือคุยกัน เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นทุกครั้งที่ได้พูดคุยกัน ตนจึงเปรียบพล.อ.เปรมเหมือนบิดาของตัวเอง เมื่อสิ้นพล.อ.เปรม จึงทำให้รู้สึกเหมือนว่าตนสูญเสียบิดาไปท่านหนึ่ง
“พล.อ.เปรม เป็นบุคลากรที่สำคัญเปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์มากมาย ทั้งการทหาร การเมือง และหลายๆ ด้านของประเทศไทย ส่วนใหญ่ที่ผมได้พบกับท่านก็จะพูดคุยในเรื่องของประสบการณ์ดีๆ ของท่านให้ฟัง และจะมีคำแนะนำว่าสิ่งใดที่ดี ที่ควรทำซึ่งเมื่อเจอกันก็จะพูดในเรื่องนี้ทุกครั้ง”
นายพลเมียนมา บอกอีกว่า คำสั่งสอนต่างๆ ของพล.อ.เปรมก็มีมากมาย ประกอบด้วย 2 ประเด็น คือ 1. ทางด้านการเมือง ก็จะพูดถึงประชาธิปไตย ก็จะต้องเป็นประชาธิปไตยของประเทศของตนเอง หรือประเทศใครประเทศคนนั้นให้เหมาะสมกับประเทศตนเอง
และประเด็นที่ 2 ที่พล.อ.เปรมพูดอยู่เสมอว่า เราเกิดในแผ่นดินนี้ เราต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน ถ้าใครไม่ตอบแทนคุณแผ่นดิน คนนั้นถือว่าเป็นคนทรยศต่อประเทศชาติ
พล.อ.เปรม มักพูดอยู่เสมอว่าการลดจำนวนคนยากคนจน ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยมีคนจนประมาณ 10 ล้านคน แล้วท่านก็ได้ให้ข้อคิดกลับประเทศเมียนมา ในฐานะที่เราสองประเทศ เป็นประเทศทางการเกษตร เราต้องพยายามลดคนยากจนโดยใช้การเกษตรดำเนินการ และท่านได้สอนการเป็นผู้นำ เราต้องเป็นตัวอย่างให้ชั้นผู้น้อย เราต้องมีความยุติธรรมกับชั้นผู้น้อยของเรา
ซึ่งตนก็ปฏิบัติมาโดยตลอด และเมื่อได้คำสอนมาจากพล.อ.เปรม ตนก็ได้เดินอย่างมั่นคง และเชื่อมั่นในสิ่งที่ท่านสั่งสอน คำที่พล.อ.เปรมพูดอยู่เสมอว่า เมื่อทำอะไรให้ประเทศชาติเราต้องมีน้ำใจ และมอบใจให้กับประเทศชาติ มิน อ่อง หล่าย เคยกล่าวไว้
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในเมียนมาขณะนี้ยังไม่มีใครกล้าฟันธงได้ว่าจะจบลงเช่นไร หรือจะเกิดอะไรขึ้นภายใน 1 ปี หลังจากการยึดอำนาจ ที่นายพลเมียนมาผู้นี้ ได้กล่าวรับปากว่าจะถอยให้มีการเลือกตั้ง นั่นเกิดขึ้นจริงหรือไม่ รวมถึงชะตากรรมของ 'อองซาน ซูจี' หญิงผู้ที่ถือได้ว่าครองใจ ประชาชนชาวเมียนมาหลายคน จะกลับคืนสู่อำนาจได้ไหม ไปจนถึงท่าทีของนานาชาติ โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา
Photo : AP News
เกมแห่งอำนาจที่ต้องใช้หมากตัวสำคัญอย่าง 'ประชาธิปไตย' มาเดิมพัน เห็นทีว่าทุกอย่างยังคงต้องจับตาดูกันต่อไป แต่หนึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือการออกมาแสดงตัว แสดงจุดยืนของประชาชนเมียนมา เพื่อต่อต้านการกระทำของกองทัพ