วันที่ 25 ก.พ. 63 นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่สอง ประเด็นคุณสมบัติต้องห้ามการเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ. ประยุทธ์ จันโอชา นายกรัฐมนตรี ที่อาจก่อความเสียหายต่อประเทศชาติ และเข้าสู่อำนาจบริหารราชการอย่างไม่ชอบธรรม
โดยก่อนการอภิปราย นายแพทย์ชลน่าน ได้กล่าวว่า จะมุ่งอภิปรายที่ตัวบุคคลคือ พล.อ. ประยุทธ์ จันโอชาเพียงผู้เดียว และจะไม่ขอเรียกว่า คุณประยุทธ์ แต่จะเรียก พลเอก เพื่อให้ พล.อ. ประยุทธ์ เพราะท่านจะได้มีจิตสำนึกอีกทั้งตนยังขอเป็นตัวแทนเสียงของประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางใจให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันโอชา อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ระบุว่า
“เขาอยากเห็นสภาผู้แทนสภาผู้แทนราษฎร อันที่พึ่งที่หวังของเขา ที่เขาเลือกเข้ามา มาทำหน้าที่แทนเขา จะใช้โอกาสนี้ เอาพลเอกท่านนี้ ออกไปให้ได้ แต่จะสิ้นหวังเพราะพฤติการณ์ พฤติกรรมที่ผ่านมาล้วนแต่อยู่ภายใต้การผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย และครอบงำทั้งหมด แต่สิ่งสำคัญผมยังมีพี่น้องประชาชนเป็นที่พึ่งที่หวัง มีจิตสำนึก มโนธรรม ของผู้กำลังจะถูกอภิปรายเป็นที่พึ่งที่หวัง”
“ไม่ไว้วางใจเพราะ ถ้าวินาทีนี้เป็นต้นไปถ้าพลเอก ประยุทธ์ ไม่ประกาศลาออก หรือออกจากตำแหน่งนี้ ประเทศชาติบ้านเมือง พี่น้องประชาชน ราชอาณาจักรไทยประสบความวิบัติล้มเหลว จะอยู่ในโลกนี้ไม่ได้ แต้ถ้าท่านออกไปตั้งแต่วินาทีนี้ สิ่งที่ผมพูดจะไม่เกิดขึ้น” ชลน่าน ศรีแก้ว
โดยนพ.ชลน่าน อภิปรายว่า การเข้าสู่อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยไม่ชอบธรรม เรื่องของการใช้อำนาจไม่ชอบธรรมทำให้ประเทศล้มเหลว รวมถึงเรื่องลักษณะตัวบุคคล ทั้งภาวะผู้นำ ความรู้ความสามารถในการบริหารราชการ มีบุคลิกภาพที่แปรปรวนหลงตัวเอง รวมไปถึงการละเมิดสิทธิ์เสรีภาพของประชาชน
โดยได้นำเสนอภาพบนสไลด์ที่มีแฮชแท็ก #ผนงรจตกม แฮชแท็กของนิสิตนักศึกษาแต่ละมหาลัยเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี และการรวมตัวแฟลชม็อก ซึ่งเป็นการแสดงออกการต่อต้านการละเมิดสิทธิเสรีภาพ และแสดงออกว่าไว้วางใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่อยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร และมีการใช้ ม.44 ออกกฎหมาย ตีความกฎหมาย เป็นตุลาการเอง ซึ่งเรียกว่าเป็นเผด็จการ ถือเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยของพี่น้องประชาชน
การละเมิดสิทธิเสรีภาพสื่อ โดยยกภาพบนสไลด์ข้อความในทวิตเตอร์ ระบุว่า พลเอกประยุทธ์ บอกไม่เคยรังแกสื่อ แล้วห้าปีที่ผ่านมาที่ไหนจอดำ ใครใช้นายสิบมอนิเตอร์สื่อ ใครตั้งองค์กรคุมสื่อ ใครส่งลูกน้องโทรว่ากล่าวหาสื่อ รหือชื้นชมสื่อ กรณีถ้าเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ ใครห้ามจัดรายการ ห้ามวิจารณ์รัฐธรรมนูญ ใครห้ามออกทีวี ใช้คำพูดที่ไม่ดี และมักหลุดปากมาเป็นประจำ ยังไม่รวมการจับกุม คุมขัง จนองค์กร Freedom hours ประเมินสิทธิเสรีภาพของไทย 30 /100 ทั้งเมื่อในยามวิกฤติทั้ง น้ำท่วมที่อุบล PM2.5 COVID-19 กราดยิงที่โคราช เหมือนไม่มีนายกรัฐมนตรี ไม่ยอมประกาศวิกฤติเพราะกลัวรายได้ไม่เข้าประเทศ นทท.จะไม่มา
นอกจากนี้ในส่วนของการใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรม นพ.ชลน่าน กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจ ม.44 ฮุบเงินครู เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2558 มาเป็นของรัฐ โดยออกคำสั่งคสช.ที่ 7/258 ยึดเงินครูกว่า 20,237 ล้านบาท ส่งผลกระทบต่อครูกว่า 1.2 ล้านคน ถือว่าขัดหลักนิติธรรมจากความผิดพลาดในอดีต ซึ่งเป็นต่อคุณสมบัติต้องห้ามการเป็นนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังยกเลิกกรรมการ 3 คณะของครู ทั้งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา, กรรมการคุรุสภา และกรรมการองค์การค้าของ สกสค. ซึ่งทั้งหมดเป็นพฤติกรรมการใช้อำนาจไม่ชอบธรรม การที่ใช้กฎหมายของรัฐยึดเข้ามาเป็นของรัฐ หรือของพรรคพวกถือเป็นการเอื้องประโยชน์ ตีความตามกฎหมายคือทุจริตต่อหน้าที่ซึ่งเป็นข้อต้องห้ามในคุณสมบัติการรับตำแหน่งนายกฯ
นอกจากนี้มีบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ของออสเตรเลีย ที่เป็นคู่พิพาทกับราชอาณาจักรไทย ส่งผลกระทบประเทศไทยเสียหายจากตัดสินใจครั้งนี้ นั้นคือการออกคำสั่งใช้ ม.44 ฮุบเหมืองทองของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จํากัด (มหาชน) ยุติประกอบกิจการ ยุติผู้มีอำนาจอนุญาต อนุมัติทั้งหมด ไปยุติพักใช้ใบอนุญาต เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2559 ทำให้มีความสั่นคลอนของสัญญาการค้าระหว่างประเทศของไทย – ออสเตรเลีย เกิดการฟ้องร้องไทย เสียหาย 4หมื่นล้านบาท ซึ่งคำวินิจฉัยชี้ขาดประเทศไทยจะออกมาในอีก 6-7 เดือน
และวอนให้สมาชิกผู้แทนราษฎรทุกคนว่า ให้คิดถึงราชอาณาจักรไทย อย่าคิดถึงบุคลใด บุคคลหนึ่ง ถ้ายังลงคะแนนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา เป็นนายกฯ ต่อ ประเทศจะหายนะ แต่หากลงคะแนนไม่ไว้วางใจทั้งนายกฯ และเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีทั้งชุด และนำประเทศไทยเข้าสู่กระบวนการเจรจาเหมืองใหม่
ก่อนจะสรุปทิ้งท้ายว่า ไม่ไว้วางใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าหากเสียงในสภาไม่เป็นผล ก็ขอให้แสดงความรับผิดด้วยการถอนตัว ลาออกเพื่อชาติบ้านเมือง