พ่อและแม่เด็กชายวัย 13 ปีที่เสียชีวิตจากจมน้ำแบบปริศนา นั้น ได้จุดธูปบอกศพลูกชายให้ไปสู่สงบสุข หลังคดีมีความคืบหน้า ความจริงเริ่มจะกระจ่างขึ้น พร้อมกับยังยืนยันลูกชายถูกทำร้าย ตามผลพิสูจน์ของ นิติเวช รพ.ตำรวจ ส่วนกรณีไตหาย นั้น ยังคงรอความชัดเจนจากแพทย์อีกครั้ง
จากกรณีที่แม่ของเด็กชายวัย 13 ขวบ ที่ที่จมน้ำเสียชีวิต แล้วร้องให้มีการรื้อคดี เนื่องจากเชื่อว่าลูกชายตาย เนื่องจากถูกทำร้าย พร้อมกับได้นำศพให้ทาง นิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อตรวจสอบ พร้อมกับร้องให้ทางมูลนิธิปวีณาฯช่วยเหลืออีกทาง โดยเบื้องต้นแม่ของเด็กชายวัย 13 ปีระบุ ผลจากการผ่าพิสูจน์ พบว่ามีร่องรอยการทำร้ายร่างกาย และยังพบว่าไตหาย หายอีก 1 ข้าง ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิปวีณาฯ ได้เข้าไปคุมครองเด็กที่เป็นพยานอีกทางหนึ่ง
ล่าสุด เมื่อเวลา 12.00 น. ที่ผ่านมา ของวันนี้ (16 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนางกัลยา เกตุนาวา มารดาของ ด.ช.ศุภชัย ธรรมานุพัฒน์ อายุ 13 ปี ผู้เสียชีวิต พร้อมด้วย นายบุญศักดิ์ ธรรมานุพัฒน์ บิดา ได้เดินทางมาที่สถานที่เก็บศพ วัดท่ามะปราง อ.เมือง จ.พิษณุโลก เพื่อจุดธูปบอกศพลูกชายด้วยอาการเศร้าโศก ว่าให้ลูกไปสู่สงบสุข เพราะว่าคดีนี้เริ่มกระจ่างมาบ้างแล้ว
โดยนางกัลยา กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า คดีของลูกชายตนนั้น มีความคืบหน้าไปมา หลังจากตนเองนำศพลูกชายไปผ่าพิสูจน์ที่ รพ.ตำรวจ อีกครั้งผลที่แน่ชัด ทางนิติเวช รพ.ตำรวจ ก็จะส่งมาให้กับพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีที่ สภ.เมืองพิษณุโลก ในวันพรุ่งนี้ ( 17 เม.ย.) ซึ่งรายละเอียดก็จะทราบดีว่าเป็นอย่างไร ซึ่งตนเอง ถ้าพูดไปอีกก็จะเป็นการก้าวกายการทำงานของเจ้าหน้าที่อีก แต่ตนเองก็ยังชื่อว่าลูกชายถูกทำร้ายก่อนเสียชีวิตอย่างแน่นอน ซึ่งจากพยานที่ตนเองรวบรวมไว้ ให้กับเจ้าหน้าที่ก็บ่งบอกชัดเจน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังทำงานไม่คืบหน้า ก็จะขอให้มีการเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนอีก
นางกัลยา กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิปวีณาฯ ได้ดูแลพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์วันดังกล่าวแล้ว ทำให้ตนเองสบายใจมาก ส่วนกรณีที่ไตของลูกชาย หายแบบปริศนา นั้น ตอนนี้ตนเองยังพูดไม่ได้ว่าเป็นอย่างกันแน่ ต้องรอผลพิสูจน์ของ นิติเวช รพ.ตำรวจเช่นกัน คาดว่าวันพรุ่งนี้ก็จะทราบผลเป็นทางการแน่นอน
ด้านนายแพทย์วีระพงศ์ ประยูรเสถียร หัวหน้าภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า การผ่าตัดพิสูจน์เบื้องต้นจากวันเกิดเหตุนั้น ทางแพทย์นิติเวช ได้ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง และในกรณีนี้ มีแพทย์เฉพาะทาง หรือ นิติเวช ช่วยกันผ่าพิสูจน์ถึง 2 ท่านด้วยกัน ซึ่งผลที่แน่ชัดอย่างไร ต้องรอจากฉบับสมบูรณ์ จาก นิติเวช โรงพยาบาลตำรวจอีกครั้ง ว่าผลพิสูจน์เป็นเช่นกันหรือไม่ อย่างไรก็ตามทางแพทย์นิติเวช รพ.มหาวิทยาลัยนเรศวร จะได้ชี้แจงให้ทราบอีกครั้ง