นายกรัฐมนตรีโพสต์เฟซบุ๊ค ขอ ป.ป.ช. ทำคดีรับจำนำข้าวอย่างเป็นธรรม ยกคดีระบายข้าวรัฐบาลที่แล้ว ใช้เวลานาน 4 ปียังไม่เสร็จ ทั้งที่เป็นคดีทุจริตเหมือนกัน
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายรัฐมนตรีฯ โพสต์คำแถลง กรณี ป.ป.ช. กล่าวโทษโครงการรับจำนำข้าว บนเฟชบุ๊ค Yingluck Shinawatra โดยระบุว่า
"คำแถลงนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณี ปปช.กล่าวโทษโครงการรับจำนำข้าว
พี่น้องประชาชนชาวไทยและชาวนาที่รักยิ่ง
ดิฉันขอเริ่มต้นด้วยการยืนยันอีกครั้งว่า ตลอดระยะเวลาสองปีกว่าที่ดิฉันได้มาทำงานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ดิฉันตั้งใจที่จะทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนด้วยความมานะอุตสาหะ และที่สำคัญด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอด เพราะดิฉันตระหนักเสมอว่า เมื่อประชาชนให้ความไว้วางใจเลือกเราเข้ามาทำงานแล้ว เราจะต้องไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง และต้องทำให้ดีที่สุดดังที่สัญญากับประชาชนไว้ โดยเฉพาะการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนทั้งประเทศ และการรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ได้มีมติให้ไต่สวนข้อเท็จจริง ตามคำร้องของพรรคประชาธิปัตย์ และกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุควรสงสัย เรื่องการปล่อยให้มีการทุจริต ในโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว โดยเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้ง ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการตามอำนาจหน้าที่ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๗ ซึ่งต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ได้มีหนังสือสำนักงาน ป.ป.ช. ลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๗ แจ้งเรื่องไต่สวนมายังดิฉัน ให้ทราบเรื่องการตั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นองค์คณะไต่สวน และมอบหมายให้ ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. และนายประสาท พงษ์ศิวาภัย เป็นกรรมการผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยหนังสือที่แจ้งต่อดิฉันยืนยันว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ไต่สวน จะปฏิบัติต่อดิฉันให้ได้รับสิทธิในกระบวนการยุติธรรมอย่างเหมาะสมด้วยความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่นั้น
ดิฉันก็เชื่อคำกล่าวอ้าง ในหนังสือของ ป.ป.ช. เพราะเมื่อคำนึงถึงตำแหน่งที่ดิฉันดำรงอยู่ คือในฐานะนายกรัฐมนตรี หัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดิน ก็ย่อมควรที่จะได้รับ การอำนวยความยุติธรรมตามสมควร กล่าวคือ การรับฟังพยานหลักฐาน ในเรื่องที่มีการกล่าวหาอย่างเพียงพอ แม้ไม่สิ้นกระแสความในขั้นตอนการแจ้งข้อกล่าวหา และแม้กฎหมายจะระบุให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการโดยเร็ว แต่ก็ไม่ควรเร่งรีบเร่งร้อน เพื่ออำนวยความยุติธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา
พี่น้องประชาชนค่ะ
การทำงานในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ถือเป็นการทำงานในระดับนโยบาย ส่วนในระดับปฏิบัติการการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าว ก็เช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ กล่าวคือ มีการกำหนดโครงสร้างการทำงาน ขั้นตอนและกระบวนการปฏิบัติ เพื่อรับจำนำและระบายข้าว โดยมีหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบการปฏิบัติการให้เป็นไปตามนโยบาย
ระบบงานราชการเป็นระบบการทำงานที่มีมาตรฐาน การที่ดิฉันทำงานอยู่ในระดับการกำหนดนโยบาย จึงไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในการลงไปปฏิบัติการสั่งการ หรือครอบงำเจ้าหน้าที่ ในระดับปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย ทั้งการดำเนินโครงการตามนโยบายดังกล่าว ก็เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี และตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ซึ่งต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๑ และ ๑๗๘ และดิฉันตระหนักเสมอว่า การทำงานไม่ว่าจะเป็นราชการหรือเอกชน จะต้องใช้หลักการในการบริหารจัดการที่ดี มีการมอบหมายงานโดยเด็ดขาด เพื่อให้มีผู้รับผิดชอบในแต่ละเรื่องแต่ละขั้นตอนที่ชัดเจน
ดังนั้น เมื่อจะมีการแจ้งว่า จะไต่สวนข้อเท็จจริงดิฉัน ในเมื่อดิฉันไม่ใช่ผู้ปฏิบัติแต่กำลังถูกกล่าวหา ดิฉันก็จำเป็นต้องขอใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ขอทราบพยานหลักฐานและขอตรวจสอบพยานหลักฐาน ตามสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองและกำหนดไว้ เพื่อจะได้ชี้แจงเรื่องที่ถูกกล่าวหา ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เข้าใจในเบื้องต้นว่า มิได้กระทำผิดซึ่งเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ที่ก่อนการถูกแจ้งข้อกล่าวหาในคดีต่างๆ ผู้ถูกกล่าวหาย่อมต้องมีโอกาสได้ใช้สิทธิ รวมทั้งการขอคัดค้านให้เปลี่ยนตัวบุคคลเป็นกรรมการผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง
ซึ่งสำหรับกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มอบหมายให้ ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ เป็นกรรมการนั้น ดิฉันได้ขอให้กรรมการ ป.ป.ช. รายอื่นทำหน้าที่กรรมการผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวนแทน โดยดิฉันได้ยื่นหนังสือจำนวน ๒ ฉบับ ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ แล้ว
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าแปลกใจว่านับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ดิฉันไม่เคยได้รับแจ้งจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า เรื่องที่ดิฉันขอความยุติธรรมทั้ง ๒ เรื่องข้างต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะอำนวยความยุติธรรมให้แก่ดิฉันหรือไม่ กลับกันคือ เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ที่ผ่านมานั้น ดิฉันได้รับทราบจากการแถลงข่าวของกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นบุคคลที่ดิฉันคัดค้าน ว่า “ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ ให้เรียกดิฉันมารับทราบข้อกล่าวหา โดยจะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาให้ดิฉัน ในวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เวลา ๑๔.๐๐ น.” ซึ่งหากรวมเวลานับแต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตั้งคณะกรรมการไต่สวน เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๗ จนถึงวันที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาต่อดิฉัน ในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ รวมเวลาที่ใช้ในการดำเนินคดีเพื่อแจ้งข้อหากับดิฉันเพียง ๒๑ วัน ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนที่กรรมการ ป.ป.ช. เคยปฏิบัติต่อการไต่สวนในคดีทางการเมืองอื่นๆอย่างเช่นคดีของดิฉัน
มีข้อสังเกตที่มาใช้เปรียบเทียบได้ด้วยว่า คดีที่บุคคลรัฐบาลที่แล้วสมัยเมื่อเป็นรัฐบาลก็ถูกกล่าวหาในเรื่องทุจริต ในการปฏิบัติหน้าที่ในหลายคดีเช่นกัน เช่น คดีระบายข้าวถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริตแต่ปรากฏว่า คดีไม่มีความคืบหน้าใดๆ แต่สำหรับดิฉันแล้ว ในเวลาเพียง ๒๑ วัน ดิฉันก็ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา
พี่น้องประชาชนค่ะ
ดิฉันขอยืนยันความบริสุทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่ว่า ดิฉัน มิได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา จากคณะกรรมการ ป.ป.ช. และข้อกล่าวหาที่ว่า ทำไมดิฉันไม่ได้ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว แต่กลับยืนยันที่จะดำเนินโครงการต่อไปนั้น แม้จะถูกกล่าวหาเช่นนี้ดิฉันก็พร้อมที่จะพิสูจน์ให้ชัดแจ้งอีกครั้งว่า โครงการดังกล่าวมีเจตจำนงที่ดีต่อชาวนา และเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน โครงการรับจำนำข้าวนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชีวิตใหม่ให้กับชาวนา และแม้ว่าชีวิตดิฉัน จะต้องตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา หรือรวมทั้งต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ตามความต้องการของผู้ล้มล้างรัฐบาลในปัจจุบัน แต่ดิฉันก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลอันเป็นข้อเท็จจริง โดยดิฉันหวังว่าจะได้รับความยุติธรรมจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. และหวังว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะยอมรับฟังคำชี้แจงและพยานหลักฐาน ของดิฉันให้เสร็จสิ้น ก่อนที่จะชี้มูลความผิดกระบวนการยุติธรรมตามหลักนิติธรรมนั้น ย่อมต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาพิสูจน์ตัวเองเสมอ
ที่สำคัญหากการอำนวยความยุติธรรมต่อตัวดิฉันมีจริง โดยไม่มีวาระซ่อนเร้นใดๆแล้วคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ไม่ควรรีบเร่ง รีบร้อน ในการไต่สวนและชี้มูลความผิด ให้เป็นไปในลักษณะที่จะถูกสังคมกล่าวหาได้ว่า เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ประสงค์ล้มล้างรัฐบาล และหากจะเปรียบเทียบกับคดีอื่นๆ กลับได้รับโอกาสในการได้รับการอำนวยความยุติธรรมอย่างเต็มที่ นับแต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. รับคำร้องที่มีการกล่าวหา ดังที่ดิฉันได้กล่าวไว้เบื้องต้นในกรณีการทุจริตในโครงการระบายข้าว ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๒ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการไต่สวน รวมทั้งคดีที่ยื่นและการค้างพิจารณาอยู่อีกเป็นจำนวนมากมาย เช่น กรณี ปรส.
ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. เองก็ต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนต่อสาธารณชนว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ใช้อำนาจของตนอย่างถูกต้อง เที่ยงธรรม และเป็นไปตามหลักนิติธรรม ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดแล้วหรือไม่
สุดท้ายนี้ ดิฉันขอเรียนต่อพี่น้องประชาชน และชาวนาว่า อย่าเพิ่งท้อถอยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น เราจะร่วมกัน ในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรค ทั้งหลายทั้งปวงไปด้วยกัน และดิฉันพร้อมที่จะรับฟังและร่วมมือกับทุกฝ่าย เพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลว่า เป็นไปเพื่อประโยชน์ของชาวนาอย่างแท้จริง และหากต้องให้มีการแก้ไขปรับปรุงอย่างไร เพื่อให้โครงการสัมฤทธิ์ผลยิ่งขึ้น ดิฉันก็พร้อมที่จะดำเนินการ ทั้งหมดก็เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน
ขอบคุณและสวัสดีค่ะ"