นายชุมสาย ศรียาภัย ทนายความ ผู้ได้รับมอบอำนาจจากนายพานทองแท้ ชินวัตร เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุดเพื่อขอความเป็นธรรมและให้ตรวจสอบ สั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ของนายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ พนักงานอัยการสอบสวนร่วมในคดีพิเศษที่ 25/2560 ด้วยเหตุที่น่าเชื่อว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมีอคติ ไม่เป็นธรรมกับผู้ต้องหา หรือน่าเชื่อว่าปฏิบัติเกินกว่าอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด อาทิเช่น การให้สัมภาษณ์ในเชิงวิจารณ์ผู้ต้องหาในลักษณะไม่เป็นกลาง พฤติการณ์ในการชี้นำ และแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 25/2560 โดยนายชุมสาย ระบุว่า ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการสอบสวนร่วมมีอำนาจกระทำได้คือการให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเท่านั้น แต่พฤติกรรม การกระทำของนายขจรศักดิ์อาจทำให้ผู้ต้องหาไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ได้ให้โอกาสผู้ต้องหาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 131 และมาตรา 134 อันเป็นหลักการสำคัญตามกฎหมายในกระบวนการชั้นสอบสวน
จากนั้น นายชุมสายเดินทางมายื่นหนังสือเพิ่มเติมอีก 1 ฉบับ โดยเป็นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้กำกับดูแลและสั่งการให้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษในคดีพิเศษที่ 25/2560 สอบพยานเพิ่มเติมให้ครบถ้วน อันเป็นการให้โอกาสผู้ต้องหาในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 131 แขวงมาตรา 134 พร้อมชี้ให้เห็นว่าการตัดพยานสำคัญที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหากว่า 10 ปากนั้นอาจเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบและไม่เป็นธรรม ไม่ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา นอกจากนี้ยังมีความน่าสงสัยว่าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 25/2560 อาจถูกชี้นำหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้กังวลว่านายขจรศักดิ์ ในฐานะพนักงานอัยการสอบสวน อาจทำให้นายพานทองแท้ได้รับความเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่เนื่องจากการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบและไม่เป็นธรรมในการตัดพยานตลอดจนในการให้สัมภาษณ์ข่าวกับสื่อมวลชนเกี่ยวกับคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษที่อาจกระทำไปโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
+ อ่านเพิ่มเติม