รวบแล้ว 'บังรูน' เตะเด็ก 4 ขวบลงไปกองกับพื้น คุมตัวสอบที่ สน.หัวหมาก

ความคืบหน้ากรณีชายคนหนึ่งเตะเด็กล้มทั้งยืนหัวฟาดลงไปกองกับพื้น ขณะเดินสวนกันบนฟุตบาทย่านรามคำแหง ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก เร่งติดตามตัวคนก่อเหตุมดำเนินคดี ซึ่งพอมีเบาะแสบ้างแล้ว ยังไม่ยืนยันว่าเป็นคนวิกลจริตหรือไม่

 

จากกรณีที่มีการแชร์คลิปโดยผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ชัยมงคล ชาตินาฝาย เป็นคลิปมาจากกล้องหน้ารถคันหนึ่งวิ่งอยู่บนถนนรามคำแหงปากซอยรามคำแหง 83 จับภาพชายที่ก่อเหตุใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงขายาวสีดำยืนโหนรถสองแถวค่อนข้างเห็นใบหน้าชัดเจน จากนั่นรถสองแถวแดงคันนี้เบี่ยงเข้าเลยกลาง รถยนต์เจ้าของคลิปจึงวิ่งเลนซ้ายไปจอดอยู่ริมฟุตปาธหน้าปากซอยรามคำแหง 85

 

 

 

ระหว่างรถจอดติดอยู่นั้นชายคนดังกล่าวเดินลงจากรถสองแถว แล้วเดินอ้อมไปด้านหลังรถยนต์คันนี้ขึ้นไปเดินอยู่บนฟุตปาธ ซึ่งกล้องหน้ารถจับภาพวินาทีสองย่าหลานเดินมาด้วยกัน จู่ๆ ชายคนดังกล่าวรูปร่างผอมสูงใหญ่ เดินสวนทางมา และได้ใช้เท้าซ้ายเตะเข้าที่หัวของเด็กอย่างแรงจนล้มทั้งยืนหัวฟาดลงไปกับพื้น ก่อนที่จะเดินไปอย่างช้าๆ อย่างหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่ย่าของเด็กจะหันมาเจอและรีบเข้าโอบกอดหลานลุกขึ้น

 

 

 

ด้านย่าของเด็กชายวัย 4 ขวบ ที่ถูกเตะเล่าว่า ตอนนั้นตนยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทราบอีกทีจากคนที่เดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์ตะโกนบอกว่า "ลูกเจ้าถูกเตะ" ตนจึงหันไปดูแล้ววิ่งไปพยุงตัวหลาน โดยหลานบอกว่า "ผีบ้าเตะหัวหนู" ยอมรับไม่ได้คิดวิ่งตามชายคนดังกล่าวเพราะมัวแต่เป็นห่วงหลาน หลังเกิดเหตุได้พาหลานไปตรวจร่างกายและแจ้งความที่ สน.หัวหมาก อยากให้เจ้าหน้าที่เร่งติดตามตัวให้ได้ หากปล่อยไปจะเป็นอันตรายต่อคนอื่น ตอนนี้หลานของตนปลอดภัยแล้ว

 

 

 

ขณะที่แม่ค้าที่อยู่ในละแวกดังกล่าว เล่าว่า ผู้ชายคนดังกล่าวมีพฤติกรรมเอออะโวยวาย ลวมลามผู้หญิง ก่อนไปก่อเหตุเตะเด็กชายคนดังกล่าว นอกจากนี้ยังเคยพบเดินย่านบางกะปิ ลาดพร้าว มีพฤติกรรมก้าวร้าว แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เพราะกลัวจะโดนทำร้าย 

 

 

 

นอกจากนี้วิน จยย.กล่าวว่า ชายคนนี้คือ บังรูน เมื่อ 2 ปีก่อนเคยใช้ก่อนหินปาใส่คนจนหัวแตก ก่อนหายตัวไป 2 ปีแล้วกลับมาใหม่และมานอนแถววิน จยย. มักมีพฤติกรรมทำร้ายหากพบเจอคนที่ไม่ถูกชะตา 

 

ล่าสุดตำรวจจับกุมตัวนายรูณได้แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างควบคุมตัวไปสอบสวนที่สน.หัวหมาก ซึ่งผู้สื่อข่าวจะรายงานความคืบหน้าต่อไป