องค์กร MI/Malteser International Thailand.ที่ดูแลผู้ป่วยในศูนย์อพยพแม่ลามาหลวง อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน รายงานพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ( H1N1 ) 3 ราย ขณะที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนรีบรายงานสถานการณ์ไปยังกระทรวงมหาดไทยและอธิบดีกรมการปกครองพร้อมสั่งปิดศูนย์อพยพห้ามเข้าออกอย่างเด็ดขาด
เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2560 จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยนายสืบศักดิ์ เอี่ยมวิจารณ์ ผวจ.แม่ฮ่องสอนได้รายงาน วิทยุด่วนที่สุดที่ มส.0018.2 / 667 ลงวันที่ 23 สิงหาคม 2560 รายงานการเกิดโรค ระบาดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ( AH1N1 ) ในพื้นที่พักพิงผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบ บ้านแม่ลามาหลวง อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน โดยมีผู้ได้รับเชื้อดังกล่าว จำนวน 3 รายได้แก่ 1. ด.ญ.Naw Hser Ek Ka อายุ 1 ปี 9 เดือน , 2. ด.ญ.Naw Paw Twat Wah อายุ 4 ปี 9 เดือน และ 3. นางสาว Naw Si อายุ 16 ปี
ล่าสุดทางอำเภอสบเมย โดยนายวิภาสกร กิติคำ ปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอสบเมย ได้ประสานงานไปยังสาธารณสุขอำเภอสบเมย นำเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เดินทางเข้าพื้นที่เพื่อควบคุมโรคและประเมินสถานการณ์ พร้อมทั้งประสานกับองค์กรเอกชน IM นำแพทย์และพยาบาล เข้าพื้นที่พักพิงเพื่อฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อโรคบริเวณ โรงพยาบาลสนามในศูนย์อพยพ หอพัก บ้านเรือน และสถานที่เสี่ยงอื่น ๆ พร้อมทั้งห้ามบุคคลภายนอกที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงกลุ่มองค์กรเอ็นจีโอ ที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับงานด้านสาธารณสุข ห้ามเข้าไปในศูนย์อพยพอย่างเด็ดขาด เป็นเวลา 14 วัน ตั้งแต่วันนี้ ถึง 5 กันยายน 2560
แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่องค์กรเอกชนที่ทำงานในศูนย์อพยพ ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยอมรับว่า ในศูนย์อพยพแต่ละศูนย์ ได้แก่ ศูนย์อพยพบ้านใหม่ในสอย ต.ปางหมู อ.เมือง , ศูนย์อพยพบ้านแม่สุริน อ.ขุนยวม และ ศูนย์อพยพบ้านแม่ลามาหลวง อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งมีประชากรรวมกันไม่ต่ำกว่า 20,000 คน ยังคงมีการเคลื่อนไหวของผู้อพยพเดินทางเข้า – ออก ระหว่างศูนย์อพยพ กับ พื้นที่ในรัฐคะยา และรัฐกอทูเล ( กะเหรี่ยง ) อย่างต่อเนื่อง ทั้งที่สถานการณ์การสู้รบในสหภาพเมียนมาได้ยุติลงตั้งแต่ 10 ปีที่ผ่านมา แต่ยังคงมีผู้อพยพเดินทางเข้ามายังศูนย์อพยพในไทยไม่ขาดสายและกลุ่มบุคคลเหล่านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นพาหะนำเชื้อโรคต่าง ๆ จากคนสู่คนเข้ามาแพร่ระบาดในศูนย์อพยพ ขณะที่ทางรัฐบาลไทย ยังคงใช้นโยบายเพิกเฉยต่อการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของชนเผ่าในพม่าเข้ามาในศูนย์อพยพ ส่งผลให้เกิดผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และด้านสาธารณสุข
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
+ อ่านเพิ่มเติม