คุมตัว 'เณรคำ' ถึงไทยพบยังห่มจีวร นำตัวแจ้งข้อกล่าวหาที่ดีเอสไอ จนท.สำนักพุทธฯ แสดงคำสั่งปรับอาบัติปาราชิก

13,025 ครั้ง

19 ก.ค. 2560

แชร์ข่าวไปที่

จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้ดำเนินคดีกับพระวิรพล ฉัตติโก (หลวงปู่เณรคำ) หรือ นายวิรพล สุขผล อดีตประธานสงฆ์สำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อ พ.ศ. 2556 ในความผิดฐาน (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จฯ (2) ฉ้อโกงประชาชน และ (3) ฟอกเงิน (4) กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม (5) กระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และ (6) ปราศจากเหตุอันสมควรพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง ผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จนศาลอาญาอกหมายจับ ต่อมาผู้ต้องหาได้หลบหนีไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงได้ดำเนินการร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน จนในที่สุดศาลชั้นต้นของประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีคำพิพากษาให้ส่งตัวกลับไปดำเนินคดีในประเทศไทย นั้น

ล่าสุด คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้เดินทางร่วมกับคณะอัยการฝ่ายต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด ไปรับตัวผู้ต้องหาตามหมายจับ ณ กรุงลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนจะเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยโดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG677 และถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเวลา 22.05 น. ท่ามกลางการดูแลความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ โดยพบว่าอดีตพระเณรคำยังห่มจีวร ก่อนจะทำเรื่องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และควบคุมตัวมาสอบสวนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาและปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะดำเนินการแจ้งและแสดงคำสั่งของเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ (ธรรมยุต) ฉบับที่ 4 / 2556 เรื่อง การปรับอาบัติปาราชิกพระวิรพล ฉัตติโก ประธานที่พักสงฆ์ป่าขันติธรรม หลังได้ประพฤติผิดพระธรรมวินัยถึงขั้นปาราชิก เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษจึงอาศัยอำนาจการปกครองตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 26 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ. 2535 มีคำสั่งให้พระวิรพล กล่าวคืนสิกขา เลิกปฏิญาณตนว่าเป็นสมณะทันที ถือว่าพ้นจากการเป็นพระตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว

นอกจากนี้ ยังได้นำแพทย์จากโรงพยาบาลชลประทานดำเนินการตรวจร่างกายเบื้องต้นก่อนเข้าห้องควบคุม จากนั้นเจ้าหน้าที่จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จะดำเนินการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอเปรียบเทียบกับผู้เสียหายเพื่อพิสูจน์ความผิดเกี่ยวกับเพศ โดยมีทนายอาสาจากสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์จัดเตรียมไว้ให้ผู้ต้องหาหากมีการร้องขอ ซึ่งหลังจากนี้ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินการส่งตัวผู้ต้องหาให้กับพนักงานอัยการ และส่งสำนวนฟ้องต่อศาลอาญาต่อไป