รัฐบาลฮังการีออกแคมเปญโจมตีนายจอร์จ โซรอส นักลงทุนที่ได้ฉายาว่าพ่อมดทางการเงิน โดยกล่าวหาว่าเขาเป็น "ภัยต่อความมั่นคงของประเทศ" เพราะสนับสนุนการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตามแคมเปญดังกล่าวก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีเจตนาต่อต้านชาวยิวหรือไม่
เป็นที่ทราบกันดีว่านายโซรอสทำงานด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนมาแล้วเป็นเวลาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบยุโนปตอนกลางและยุโรปตะวันออก แต่การสนับสนุนผู้อพยพจากตะวันออกกลางและแอฟริกาให้เข้ามาในยุโรป ทำให้เขาตกเป็นเป้าของการโจมตีจากรัฐบาลฮังการี ซึ่งนำโดยนายกรัฐมนตรีวิกเตอร์ ออร์แบน
ขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของฮังการีก็ออกแถลงการณ์ว่าเขาพยายามที่จะทำลายรั้วที่รักษาความมั่นคงทางชายแดนของชาติ และตั้งรกรากในยุโรปและฮังการีให้กับผู้อพยพผิดกฎหมายกว่าแสนคน
อย่างไรก็ตาม โฆษกส่วนตัวของนายโซรอสออกมาปฏิเสธข้อโจมตีดังกล่าว โดยระบุว่าจุดยืนที่แท้จริงของนายโซรอส คือชุมชนทั่วโลกควรให้การสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเป็นผู้รับผู้อพยพกว่า 89% ของทั้งโลกให้มากขึ้น และยุโรปควรรับผู้อพยพที่ผ่านการกลั่นกรองอย่างครบถ้วน ด้วยการตรวจสอบและตั้งถิ่นฐานใหม่อย่างเป็นระเบียบ
นอกจากนี้ โฆษกของนายโซรอสยังระบุว่าแคมเปญนี้มีแนวโน้มที่แสดงถึงการต่อต้านชาวยิว เพราะในโปสเตอร์รณรงค์มีการใส่คำขวัญต่อต้านชาวยิวไว้ด้วย ขณะที่นายโซรอสก็มีเชื้อสายยิว แต่รัฐบาลฮังการีก็ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้เช่นกัน โดยระบุว่าการต่อต้านนายโซรอสไม่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาของเขาแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาจากหลายฝ่ายดูจะไม่ค่อยสู้ดีนัก ผู้นำชุมชนชาวยิวของฮังการีออกมาเตือนว่า แม้ว่าเขาจะไม่เห็นว่าแคมเปญนี้เป็นการต่อต้านชาวยิวอย่างเปิดเผย แต่อาจจะส่งผลให้เกิดการแสดงออกเกี่ยวกับแนวคิดต่อต้านชาวยิวซึ่งอาจไม่สามารถควบคุมได้
ขณะที่นายยอสซี่ อัมรานี่ ทูตของอิสราเอลประจำฮังการีขอให้รัฐบาลฮังการีทบทวนถึงผลที่จะตามมาจากแคมเปญนี้อย่างรอบคอบ เพราะนอกจากจะกระตุ้นความทรงจำอันเลวร้ายเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผาพันธุ์ชาวยิวแล้ว ยังก่อให้เกิดความเกลียดชังและความกลัวด้วย ทั้งนี้ ประธานาธิบดีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล มีกำหนดเดินทางเยือนฮังการีในสัปดาห์หน้า
อนึ่ง นายโซรอสเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้โจมตีค่าเงินบาท และค่าเงินสกุลอื่นๆในเอเชีย จนทำให้ประเทศต่างๆ รวมถึงไทยต้องเผชิญวิกฤติทางเศรษฐกิจ "ต้มยำกุ้ง" ในปี 2540
(ภาพ-ข่าวจากสำนักข่าว CNN)
+ อ่านเพิ่มเติม