หนาว! ข้อมูลส่วนตัวของชาวอเมริกันกว่า 200 ล้านคนหลุดเผยแพร่ทางออนไลน์
logo ข่าวอัพเดท

หนาว! ข้อมูลส่วนตัวของชาวอเมริกันกว่า 200 ล้านคนหลุดเผยแพร่ทางออนไลน์

ข่าวอัพเดท : ข้อมูลส่วนตัวของคนอเมริกันกว่า 200 ล้านคนหรือราว 62% ของประชากรทั้งสหรัฐฯ ถูกบริษัท Deep Root Analytics ซึ่งเป็นบริษัทการตลาดด้านโฆษ สหรัฐอเมริกา,ข้อมูลส่วนตัว,ออนไลน์

6,076 ครั้ง
|
21 มิ.ย. 2560
ข้อมูลส่วนตัวของคนอเมริกันกว่า 200 ล้านคนหรือราว 62% ของประชากรทั้งสหรัฐฯ ถูกบริษัท Deep Root Analytics ซึ่งเป็นบริษัทการตลาดด้านโฆษณาทางการเมืองที่เป็นคู่สัญญากับพรรครีพับลิกันปล่อยให้หลุดออกมาเผยแพร่บนเซอร์เวอร์แบบคลาวด์ของบริษัทอเมซอน และหากใครที่มีที่อยู่ในการเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ก็สามารถเข้าไปดูได้ทันที
 
เรื่องนี้ถูกเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วโดยนายคริส วิกเคอรี นักวิเคราะห์ความเสี่ยงไซเบอร์ของบริษัท UpGuard ซึ่งเป็นบริษัทที่ดูแลด้านความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ เขาพบว่าข้อมูลเหล่านี้ถูกเก็บมาจากแหล่งต่างๆ กัน ตั้งแต่กระทู้ถกเถียงซึ่งถูกแบนบนเว็บไซต์สังคมออนไลน์ Reddit ไปจนถึงคณะกรรมการด้านการระดมทุนของพรรครีพับลิกัน ข้อมูลเหล่านี้ถูกเก็บในรูปตารางคำนวณ (Spreadsheet) มีรายงานว่าข้อมูลเหล่านี้อัพเดทล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ในช่วงที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และไม่ทราบว่าหลุดมาอยู่บนเซอร์เวอร์มานานเท่าใดแล้ว
 
ข้อมูลเหล่านี้รวมถึงวันเกิด ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ตลอดจนแนวคิดทางการเมืองในหลายรูปแบบ ทั้งความเชื่อทางการเมือง, ความเชื่อด้านการเปิดเสรีการครอบครองอาวุธปืน, ความเชื่อด้านการทำแท้ง ไปจนถึงความเชื่อด้านการทำสเต็มเซลล์ และรูปแบบการเก็บข้อมูลสะท้อนว่าข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้โดยองค์กรทางการเมืองที่สนับสนุนพรรครีพับลิกัน
 
แดน โอ ซุลลิแวน ผู้สื่อข่าวของเว็บไซต์ Upguard เขียนบล็อกของบริษัทระบุว่า การที่ฐานข้อมูลระดับชาติที่มีขนาดใหญ่ระดับนี้ถูกสร้างและเก็บไว้บนสื่อออนไลน์ โดยไม่มีแม้แต่การป้องกันการเข้าถึงจากสาธารณะในระดับพื้นฐานที่สุดนับเป็นเรื่องที่น่าหนักใจ และเขายังตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบขององค์กรเอกชนและองค์กรการเมืองเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
 
อย่างไรก็ตาม ผู้ก่อตั้งบริษัท Deep Root Analytics ระบุว่า เขาไม่เชื่อว่าระบบของบริษัทจะถูกแฮก และได้มีการเพิ่มการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลให้เข้มงวดยิ่งขึ้นแล้ว
 
(แฟ้มภาพจากสำนักข่าว CNN)