ในประเทศไทยมีพรรณไม้อยู่มากมาย หลากหลายชนิด และแต่ละชนิดก็แยกย่อยออกได้อีกหลายสายพันธุ์ และแต่ละชนิด แต่ละสายพันธุ์ก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกัน
โดยในประเทศไทยมีทั้งดอกไม้ที่มีต้นกำเนิดในประเทศไทย และต้นกำเนิดจากต่างประเทศ ทำให้มีดอกไม้ที่สามารถหาดูได้ง่ายและยาก ซึ่งในวันนี้เราจะขอนำเสนอพรรณไม้ไทย 2 ชนิดที่สามารถหาชมได้ยาก เนื่องจากว่าเป็นดอกไม้ที่เติบโตอยู่ในแหล่งเฉพาะ เป็นพืชเฉพาะถิ่น ซึ่งถ้าหากว่าใครไม่ได้ไปเที่ยวชมในพื้นที่นั้น ๆ ก็จะไม่สามารถชมหรือพบเจอพรรณไม้เหล่านี้ได้เลย
พรรณไม้ 2 ชนิดที่หายากนั้นจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย !
พลับพลึงธาร
พลับพลึงธาร เป็นพืชน้ำที่อยุ่ในวงศ์เดียวกับพลับพลึง โดยแต่ละท้องถิ่นก็จะมีชื่อเรียกต่างกัน ได้แก่ หญ้าช้อง หอมน้ำ และช้องนางคลี่ ลักษณะของพลับพลึงธาร ดอกจะมีลักษณะตูม มีสีขาว มี 6 กลีบ ในก้านชูดอกหนึ่ง ๆ มีหลายก้านดอก จะทยอยบานติดต่อกันไป ส่วนใบจะเป็นกลุ่มแถบยาว เป็นริ้วพริ้วไหวไปตามการไหลของสายน้ำ พลับพลึงธารจึงได้รับฉายาว่าเป็น “ ราชินีแห่งสายน้ำ ”
พลับพลึงธารเป็นพืชเฉพาะถิ่นที่สามารถพบได้ในบางจังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทย โดยส่วนมากจะพบที่จังหวัดระนอง บริเวณพื้นที่ตอนล่างของจังหวัด และพื้นที่ตอนบนของจังหวัดพังงา
ในช่วงฤดูฝนที่มีน้ำหลาก พลับพลึงธารจะมีการผสมเกสร โดยในแต่ละผลจะมีเมล็ดข้างใน 3-4 เมล็ด และจะออกดอกบานสะพรั่งในช่วงปลายฤดูฝน หรือต้นฤดุหนาว ก็คือช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคมของทุกปี
ในปีพ.ศ.2554 พลับพลึงธารได้ถูกขึ้นบัญชีให้เป็นพืชที่ใกล้สูญพันธุ์ของโลก (IUCN Redlist) โดยพลับพลึงธาร ซึ่งถือว่าหนึ่งในพืชดรรชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำลำคลอง
มหาพรหมราชินี
มหาพรหมราชินี เป็นพรรณไม้ที่อยู่ในวงศ์ ANNONACEAE หรือวงศ์กระดังงา โดยพืชที่อยู่ในวงศ์นี้ มีทั้งไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม และมีบางส่วนเป็นไม้เลื้อย
โดยมหาพรมราชินีมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย พบที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน บริเวณชายป่าดิบเขา ที่ระดับความสูงประมาณ 1,100 เมตร
ลักษณะของมหาพรหมราชินี จะเป็นไม้ยืนต้น มีความสูง 4-6 เมตร ปลายกิ่งมีขนสีเทาอ่อนปกคลุม ใบเดี่ยว รูปรีแกมขอบขนาน ผิวใบเกลี้ยง ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม ดอกสีขาวแกมม่วง ออกเดี่ยวหรือเป็นช่อ 1-3 ดอก ใกล้ปลายยอด ดอกบานเต็มที่กว้าง 8-10 เซนติเมตร มี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 วง วงนอกกลีบดอกแผ่กว้างปลายแหลม วงในส่วนโคนสีเขียวอ่อน ตอนปลายสีม่วงเข้ม และม้วนงอประกบกันเป็นกระเช้าตรงกลางดอก ผลเป็นผลกลุ่ม มีผลย่อย 10-15 ผล รูปทรงกระบอก ขนาดผ่านศูนย์กลาง 2-2.5 เซนติเมตร
ในครั้งแรกที่มีการพบดอกมหาพรหมราชินีนั้น มีสถานภาพเป็นไม้หายากและใกล้สูญพันธุ์ แต่ปัจจุบันสามารถขยายพันธุ์ด้วยการทาบกิ่ง ต่อกิ่ง และเสียบยอดกับต้นพืชสกุลเดียวกัน จึงทำให้มีจำหน่ายในตลาดต้นไม้ สามารถหาซื้อไปปลูกเลี้ยงกันได้ทั่วไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://mgronline.com/travel/detail/9660000102705#
https://www.thaipbs.or.th/now/content/1009