“ศรีสุวรรณ” มาแล้ว ! บุกร้อง สตง. สอบกรณีเปลี่ยน “ป้ายสถานีกลางบางซื่อ”

ศรีสุวรรณ - นายแพทย์วรงค์ ยื่นหนังสือให้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ตรวจสอบกรณีเปลี่ยน ป้ายสถานีกลางบางซื่อ  ขัด พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างและมีการฮั้วหรือไม่ ย้ำชัดว่าโครตแพง !

 

เมื่อวานนี้ (5 ม.ค. 66) เวลา10.00 น. ที่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ภายในกระทรวงการคลัง นายศรีสุวรรณ จรรยา ประธานสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางมาเข้ายื่นหนังสือร้องถึง นายณัฐวุฒิ จุ้ยสำราญ ผู้อำนวยการสำนักผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อให้ตรวจสอบพิรุธหลายประเด็น 

 

เช่น บัญชีคุรุภัณฑ์ ที่สำนักงบประมาณจัดทำไม่ได้เทียบเคียงกับการจัดทำป้ายโดยตรง ไม่มีบันทึกการประชุมประเมินราคากลางที่แสดง ให้เห็นถึงการเปรียบเทียบราคาในการจัดทำป้ายของบริษัทต่าง ๆ ในลักษณะคล้ายกัน แต่กลับใช้วิธีการเจาะจงเลือกบริษัทที่รับผิดชอบโครงการนี้โดยไม่มีการเปิดประมูล ทั้งที่วิธีนี้ใช้เฉพาะกรณีที่เป็นเรื่องเหตุจำเป็นเร่งด่วน หรือที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง แต่การเปลี่ยนป้ายสถานีไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ที่จะต้องจะทำให้เราเสร็จภายในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 และที่สำคัญที่สุดบริษัทที่เข้ามาดำเนินการเปลี่ยนป้ายเป็นบริษัทที่เคยได้รับโครงการของรฟท. มาแล้วไม่ต่ำกว่า 8 โครงการมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท จึงอาจเข้าข่ายการเอื้อประโยชน์ตามความผิดการเสนองานของรัฐหรือที่เรียกว่าการฮั้วประมูล ตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ที่กำหนดให้มีการเปิดประมูลโดยทั่วไปก่อน แต่หากไม่มีผู้เสนอ จึงจะสามารถใช้วิธีการเจาะจงได้ และส่วนตัวมองว่า ป้ายราคาตัวอักษรละ 300,000 บาท สูงเกินไป 

 

ขณะที่ นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี เชื่อว่ามีการทุจริตก่อสร้างโครงการปรับปรุงป้ายชื่อ "สถานีกลางบางชื่อ" เป็น "สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์" เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน เนื่องจากมีการใช้วิธีเฉพาะเจาะจงเลือกบริษัทเข้ามา ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน การก่อสร้างไม่ได้มีอะไรซับซ้อน และราคากลางควรจะต่ำกว่านี้ เชื่อว่า กรณีนี้มีฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อหารายได้ เพื่อรับกับการเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามา  

 

นายแพทย์วรงค์ ได้เรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมาแสดงความรับผิดชอบ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบกำหนดวันเวลาให้ชัดเจน อย่าโยนภาระให้หน่วยงานอื่น และสั่งหยุดดำเนินโครงการเปลี่ยนป้ายชื่อสถานีเพื่อรอการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เรียบร้อยก่อน และหากพบว่ามีการทุจริตจะต้องเปิดประมูลราคาใหม่เพื่อให้เกิดความโปร่งใส