กรมสุขภาพจิต แจงใบรับรองแพทย์ ไม่เป็นเหตุยกเว้นโทษ ปม ส.ต.ท.หญิงทำร้ายทหารรับใช้ อ้างป่วยจิตเวช
logo ข่าวอัพเดท

กรมสุขภาพจิต แจงใบรับรองแพทย์ ไม่เป็นเหตุยกเว้นโทษ ปม ส.ต.ท.หญิงทำร้ายทหารรับใช้ อ้างป่วยจิตเวช

ข่าวอัพเดท : คืบหน้ากรณีสิบตำรวจตรีหญิง อ้างเป็นเมียน้อยของ สว. กระทำทารุณ ทำร้ายร่างกายทหารรับใช้ นำใบรับรองแพทย์อ้างป่วยจิตเวช ขอละเว้นโทษตามกฎ ตำรวจหญิง,เมียน้อย,สว,ทำร้าย,ทหารรับใช้,ป่วยจิตเวช,แพทย์,ใบรับรองแพทย์,ทหาร

799 ครั้ง
|
22 ส.ค. 2565
       คืบหน้ากรณีสิบตำรวจตรีหญิง อ้างเป็นเมียน้อยของ สว. กระทำทารุณ ทำร้ายร่างกายทหารรับใช้ นำใบรับรองแพทย์อ้างป่วยจิตเวช ขอละเว้นโทษตามกฎหมาย จนทำให้สังคมเกิดความวิตกกังวลต่อความรับผิดที่ผู้ก่อเหตุควรได้รับ 
 
        ล่าสุด วันที่ 22 ส.ค. 65 พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ชี้แจงว่าโดยส่วนมากผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตทั่วไประดับที่ไม่รุนแรง แม้มีความเสี่ยงในการทำร้ายตัวเองที่สูงกว่าคนทั่วไปก็ตาม แต่ความเสี่ยงในการทำร้ายผู้อื่นมักไม่ต่างจากสถิติในประชากรโดยรวม
 
        “การด่วนสรุปว่าคดีสะเทือนขวัญต่างๆ เกิดจากปัญหาสุขภาพจิตทั่วๆ ไปเพียงอย่างเดียวนั้น อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ความตื่นตระหนกและอาจสร้างตราบาปต่อผู้ที่กำลังบำบัดรักษาด้านสุขภาพจิตอยู่ในสังคม”
 
           พญ.อัมพร ระบุด้วยว่า ในทางปฏิบัติความเจ็บป่วยทางจิตที่จะมีผลต่อการรับโทษ เขียนไว้ชัดเจนในประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 65 ซึ่งผู้ใดกระทำความผิด ในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น แต่ถ้าผู้กระทำความผิดยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น เพียงแต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
 
             “นั่นหมายถึง ต่อให้มีใบรับรองว่าป่วยทางจิต หรืออยู่ในกระบวนการรักษา ก็ต้องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าความเจ็บป่วยนั้นส่งผลต่อความสามารถในการรู้ผิดชอบ หรือการควบคุมตนเองมากน้อยแค่ไหน เช่น ผู้ป่วยโรคจิตเภทที่รักษาจนบรรเทาแล้วไปก่อคดีฆาตกรรม ก็ไม่สามารถนำมาใช้เป็นเหตุยกเว้นการรับโทษหรือรับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ ซึ่งการตรวจประเมินทางนิติจิตเวชทางการแพทย์เป็นกระบวนการหนึ่ง ศาลจะนำข้อมูลไปประกอบการพิจารณา”
 
         ด้าน นพ.ณัฐกร  จำปาทอง ผอ.สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ กล่าวว่า พ.ร.บ.สุขภาพจิต พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 ได้มีการกำหนดกฎหมายเพื่อคุ้มครองประชาชนโดยทั่วไป ทั้งนี้หากประชาชนท่านใดพบผู้ต้องสงสัยเป็นผู้ป่วยจิตเวชหรือมีความผิดปกติทางจิต  มีภาวะอันตรายหรือจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา สามารถดำเนินการตามมาตรา 26  ที่ได้กำหนดไว้ว่า ในกรณีฉุกเฉินหากได้รับแจ้งว่ามีบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิต หรือพบบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตซึ่งมีภาวะอันตราย และเป็นอันตรายใกล้จะถึง ให้นำผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตส่งสถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยอาการ โดยบุคคลที่สามารถนำตัวผู้ป่วยส่งสถานพยาบาลได้ ได้แก่ 1)พนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น แพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา นักสาธารณสุข 2) พนักงานฝ่ายปกครอง เช่นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ ปลัดอำเภอ 3) เจ้าหน้าที่ตำรวจ
 
         ส่วนกรณีที่พบบุคคลที่มีอาการทางจิต แต่ยังไม่ได้กระทำความผิด เช่น เดินพูดคนเดียว บุคคลทั่วไปสามารถแจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้นำตัวส่งสถานพยาบาลตามมาตรา 24 อีกด้วย กรมสุขภาพจิต ขอสังคมให้ความสนใจต่อเรื่องปัญหาด้านสุขภาพจิต อย่างตระหนักแต่ไม่ตระหนกหรือวิตกกังวลมากจนเกินไป เนื่องจากเหตุโศกนาฏกรรมที่เชื่อมโยงกับผู้ป่วยจิตเวชเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง