logo ถกไม่เถียง

ตร.บุกค้นบ้านเจ๊ข้าว สระบุรี ยอมรับฉี่รดหน้าหนุ่มจริง เผยปมแค้นเรื่องกระเป๋า #ถกไม่เท

ถกไม่เถียง : ถกไม่เท: จากเมื่อวานที่นายอาร์ม อายุ 34 ปี และน.ส.ปั๊บ อายุ 35 ปี ได้มาออกรายการ ถกไม่เถียง เพื่อแฉพฤติกรรมเจ๊ข้าว เจ้าแม่เงินกู้โห อาร์ม,เจ๊ข้าว,เจ้าหนี้,ฉี่รดหน้า,กระเป๋า,ทำร้าย,ถกไม่เถียง,ถกไม่เท,อาร์ม,เจ๊ข้าว,เจ้าหนี้,ฉี่รดหน้า,กระเป๋า,ทำร้าย,ปั๊ป,แค้น,บุกค้นบ้าน,ลูกหนี้,ทวงหนี้โหด,ปัสสาวะ,สระบุรี,กระเป๋าแบรนด์เนม,โพสต์เฟซบุ๊ก

737 ครั้ง
|
04 พ.ค. 2565
     จากเมื่อวานที่นายอาร์ม  อายุ 34 ปี และน.ส.ปั๊บ อายุ 35 ปี ได้มาออกรายการ ถกไม่เถียง เพื่อแฉพฤติกรรมเจ๊ข้าว เจ้าแม่เงินกู้โหด ที่บังคับให้เหยื่อทั้ง 2 คน กราบเท้าขอโทษ มีการทำร้ายร่างกาย ปัสสาวะรดใบหน้า และนำไปประจานในเฟซบุ๊ก วันนี้เรามาตามความคืบหน้ากันต่อ
 
          ก่อนหน้านี้ นายอาร์ม (นามสมมติ) อายุ 34 ปี หนุ่มจักรยานยนต์รับจ้างทั่วไป พร้อมด้วย น.ส.ปั๊บ (นามสมมติ) อายุ 35 ปี เซลส์จำหน่ายน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่ง ทั้งสองคนเป็นชาวสระบุรี เดินทางไปที่กองปราบปราม เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ Pensiri Wichian หรือ เจ๊ข้าว สระบุรี เหตุให้ลูกน้องทวงหนี้ขู่ฆ่า บังคับให้กราบเท้าขอโทษ มีการทำร้ายร่างกาย ปัสสาวะรดใบหน้า และนำไปประจานในเฟซบุ๊ก
 
          ล่าสุดเมื่อเย็นวานนี้ พล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ ผบก.ภ.จว.สระบุรี ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจังหวัดสระบุรี นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านของ นางเพ็ญศิริ หรือ เจ๊ข้าว อายุ 32 ปี ในพื้นที่ ต.โคกสว่าง อ.เมือง จ.สระบุรี ได้เข้าทำการตรวจค้นภายในบ้าน โดยไม่ให้สื่อมวลและผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเข้าไปภายในบ้าน จากการตรวจค้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมายและสิ่งที่เชื่อมโยงในคดี จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัว นางเพ็ญศิริ หรือเจ๊ข่าว มาสอบปากคำที่ สภ.เมืองสระบุรี โดยมี พล.ต.ต ชยานนท์ มีสติ ผบก.ภ.จว. สระบุรี สอบสวนด้วยตัวเอง 
 
        พล.ต.ต.ชยานนท์  กล่าวว่า วันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปนำตัว นางเพ็ญศิริ หรือ ข้าว มาสอบสวนให้การเป็นประโยชน์ตามที่น้องเขาให้ข้อมูลเมื่อสักครู่ ได้ยอมรับสารภาพว่าทำผิดจริง ตามที่ผู้เสียหายได้มาแจ้ง และจะดำเนินการตามกฎหมายในฐานความผิดที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตอนนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวน เพราะว่าผู้ต้องการยังสอบสวนไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมดก่อน และก็จะสอบสวนทั้ง 2 ฝ่าย และจะให้ความเป็นธรรมกับคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย เพราะเขาบอกว่ารู้จักกันดี ทำงานอยู่ด้วยกัน ซึ่งมีเรื่องไม่ถูกใจเลยทะเลาะกัน จากการสอบสวนพนักงานสอบสวนได้ตั้งข้อหาผู้กระทำความผิดไป 3 ข้อหาคือ 1 ทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ, 2 ดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า, 3 หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และผู้ต้องหาได้ยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา  อย่างไรก็ตามต้องสอบสวนให้ละเอียดอีกที และจะเรียกผู้เสียหายมาให้ข้อมูลเพิ่มอีกครั้ง
 
        นางเพ็ญศิริ เปิดเผยว่า การที่ปัสสาวะใส่หน้าอาร์มลูกน้องที่คอยวิ่งซื้อของให้ตน มีอยู่วันหนึ่งอาร์มได้เอากระเป๋าแบรนด์เนมมาขายให้ตน 3 ใบ 8 หมื่นบาท กระเป๋าที่เขาส่งมาขายให้ตน ซึ่งเป็นรุ่นที่ตนมีแล้วทุกรุ่น จึงได้พูดกับน้องไปตามภาษาที่คุยกันว่า กระเป๋าที่ส่งมาให้มีแล้วทุกรุ่นเลย และก็ขายให้เขาไปหมดแล้ว สภาพดีกว่านี้ ยังขายได้ไม่ถึง 8 หมื่นเลย สภาพแบบนี้มันไม่น่าถึง 8 หมื่นหรอก น้องจึงได้ถามมาว่าแล้วจะให้ราคาเท่าไหร่ ลองเสนอมา แต่ตนไม่ได้ตอบ เพราะไม่ได้คิดที่จะซื้อ จึงได้เงียบไป
 
     สักพักน้องอาร์มโพสต์ขึ้นสเตตัสว่า “คนจริงไม่พูดเยอะ 3 ใบ 9 หมื่น” เหมือนประมาณว่าขายได้แล้ว แต่ความเป็นจริง ณ วันนี้กระเป๋าก็ยังขายไม่ได้ ซึ่งเรารู้ว่าใครเป็นเจ้าของกระเป๋า และรู้ว่ากระเป๋าอยู่กับใคร แต่สิ่งที่อาร์มโพสต์ว่าขายได้ ซึ่งตัวเรารู้สึกว่า ลักษณะนิสัยเขา ถ้าใครติดตามจะรู้ว่าเขาเป็นคนที่มีปัญหากับใครไปทั่ว พอเราเห็นเขามาพูดแบบนี้ก็เกิดความโมโห โพสต์แบบนี้โพสต์ว่าเราหรือเปล่า โพสต์แขวะแบบนี้ จึงได้ไปคอมเมนต์ใต้โพสต์ว่า ขายกระเป๋าได้เงินแล้วก็เอาเงินมาใช้หนี้ด้วยนะ ซึ่งเราไม่คิดว่าเขาจะด่าเราขนาดนี้ และท้าทาย
 
        ส่วนเรื่องที่ปัสสาวะ ตนปัสสาวะรดหน้าเขาจริง เพราะตนโมโหและแค้นที่มาท้าทาย แต่ตนไม่ได้นั่งเหมือนตามในข่าว ตนใส่ชุดนอนนุ่งผ้าขนหนูยาวถึงเข่า และเดินปัสสาวะตั้งแต่เท้าไปหน้า และเดินลงมา โมโหที่เขาบอกว่าเราไม่มีปัญญาซื้อกระเป๋า ซึ่งเราไม่ได้อยากให้เขาเจ็บตัว แต่อยากให้จำ ถึงได้ทำแบบนี้ออกไป และรู้ว่าผิด เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ
 
       ส่วนกรณีของคุณปั๊บ โกงเรามา 3 รอบ โกงมาตลอด และตนให้อภัยมาตลอด และยอดเงินไม่เป็นไปตามข่าว ของปั๊บจะไม่ขอพูดถึง แต่ยืนยันเลยว่า ตามเนื้อข่าวที่ฝั่งนู้นพูด ไม่มีมูลความจริง ยอดเงินก็ไม่ตรง ยอดเงินที่ปั๊บบอกว่าเป็นหนี้ 5 หมื่น ไม่ใช่แน่นอน ตนมีหลักฐาน และจะให้การกับตำรวจเป็นการส่วนตัว เพราะครั้งแรกเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ยอดเงินเหลือ 6 หมื่นกว่าบาท ตัดทิ้งไปได้เพราะมันนานแล้ว เพราะตนไม่มีหลักฐานแล้ว แต่ตัวเขารู้ดีว่ายังใช้ไม่หมด ครั้งที่ 2 แสนกว่าบาท ยังมีหลักฐานอยู่ ส่วนครั้งที่ 3 ที่เลิกคบกันและไล่ออกไป 6 หมื่นบาท แต่ใช้มาแล้วเหลือ 3 หมื่น สรุปแล้วยอดก็เหลือแสนกว่าๆ ส่วนละเอียดต่างๆ ขอไม่พูดถึง

 

ชมผ่าน YouTube ได้ที่ https://youtu.be/5Hpn47WmfTM

ข่าวที่เกี่ยวข้อง