แม่โวย ลูกชายวัย 10 ขวบ ปวดท้องเข้ารักษาที่ รพ.รัฐ ใน จ.สระแก้ว หมอวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบ แต่รอผ่าตัดช้า จนไส้ติ่งแตกตาย
วันที่ 6 มี.ค.65 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากครอบครัวของ "น้องกานต์" เด็กชายอายุ 10 ขวบ ชาว ต.วังท่าช้าง อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี เขตรอยต่อ ต.ศาลาลำดวน อ.เมือง จ.สระแก้ว หลังพาลูกชายซึ่งมีอาการปวดท้องอย่างหนักไปรักษาที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ใน จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ใช้เวลาแค่ 15 นาทีก็พาเด็กมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ช่วง 4 ทุ่มเศษ โดยหมอตรวจพบว่าไส้ติ่งอักเสบ แต่ไม่ผ่าตัด จนทำให้เด็กเสียชีวิต ต้องการให้โรงพยาบาลรับผิดชอบกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
นางสาย (นามสมมุติ) อายุ 39 ปี แม่ของน้องกานต์ เปิดเผยว่า ช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่มเศษ วันที่ 3 มี.ค. 65 ที่ผ่านมา ได้พาลูกชายไปหาหมอเพราะปวดท้อง ที่ตึกอุบัติเหตุ รอซักประวัติและทำตามขั้นตอนทุกอย่าง โดยพยาบาลให้น้องไปดูอาการข้างในห้องฉุกเฉิน โดยจะให้น้องไปตรวจปัสสาวะกับเจาะเลือด และเอ็กซเรย์ ก่อนหมอมาตรวจ น้องบอกหมอว่าปวด หมอมาจับมากดบริเวณท้อง น้องบอกปวดเหมือนเดิม หมอบอกว่า ไส้ติ่งอักเสบ ให้รอและให้แม่เอาเอกสารมาเช็กสิทธิ โดยให้น้องนอนบนเตียงให้น้ำเกลือ จากนั้นให้แม่เอาเอกสารไปยื่น
จากนั้นพยาบาลบอกว่าจะต้องให้เด็กนอนโรงพยาบาล หลังจากอาจารย์หมอมาดู ก็บอกคอนเฟิร์มว่า น่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ ตอนนั้นไม่ได้มีการผ่าตัดให้เด็ก ทั้งที่น้องบอกว่าปวดมาก แล้วก็ให้รอ ให้เอ็กซเรย์อีกครั้ง แต่ให้รอก่อน ก่อนจะออกจากห้องฉุกเฉินไปเจาะเลือดอีก 2 ครั้ง โดยเจ้าหน้าที่ให้รอและตรวจ ATK ให้น้องเข้าไปตอน 5 ทุ่ม ตอนนั้นน้องเริ่มบอกว่าปวดท้อง หายใจไม่ออก ขณะอยู่ในห้องฉุกเฉิน ซึ่งพยาบาลบอกว่า น้องตื่นเต้นหรือเปล่า ตนบอกน้องปวดท้อง ไม่ได้ตื่นเต้น มีหมอเดินมาถามน้องก็บอกว่า ปวดตรงนั้น ตรงนี้ ยังถามอีกว่าตื่นเต้นหรือเปล่า หมอยังย้อนถามอีกเป็นโควิดหรือเปล่า แต่ให้รอ ซึ่งผล ATK ออกมาเด็กปกติไม่ได้ติดโควิด
"ตอนนั้นน้องบอกกับแม่ว่า ปวดท้องปวดมากจริงๆ เวรเปลพาน้องไปห้องสแกนคอมพิวเตอร์ช่วงเกือบตี 1 น้องบอกว่า หายใจไม่อิ่ม เจ้าหน้าที่พาน้องไปสแกนคอมพิวเตอร์แล้วนำออกมา บอกว่า สแกนไม่ได้ น้องหายใจไม่อิ่ม จึงรอดูอาหารบนตึก พอนำเด็กขึ้นตึกกุมารเวชฯ ชั้น 3 เจ้าหน้าที่ส่งเอกสารให้เซ็น มีพยาบาลมาซักประวัติ ตอนนั้นน้องบอกปวดมาก จนตี 1 แม่ขอพยาบาลออกมาเอาของที่บ้าน มีการส่งน้องขึ้นตึก จากนั้นตอนตี 2 แม่ออกจาก รพ.มาเอาของที่บ้าน กลับไปก็มีการให้ยาฆ่าเชื้อกับยาแก้ปวดทางสายน้ำเกลือ จนช่วงตี 3-4 น้องถามแม่ว่า ทำไมแม่ไปนานจัง ก็คุยกัน บอกให้ลูกนอน ลูกบอกนอนไม่ได้ เหมือนเวียนศีรษะตลอดเวลา ตอนนั้นเวลาเดินไปเรื่อยๆ แม่อยู่ข้างเตียงลูก พร้อมกับจับมือน้องไว้ตลอดเวลา" นางสาย เล่าพร้อมกับร้องให้ไปด้วย
นางสาย บอกอีกว่า ได้นั่งคุยกับลูกไปสักพักเหมือนน้องมีอาการไข้ขึ้น พูดไม่ตอบสนองโต้ตอบเช่นเดิม จึงเรียกพยาบาลมาดูพร้อมบอกว่าน้องปวดท้อง พยาบาลมาดู วัดไข้ วัดความดัน จึงให้เอาผ้ามาเช็ดตัวในห้องแยกผู้ป่วยตึกกุมารเวช ชั้น 3 ให้แม่เช็ดตัวจนไข้เริ่มลด ลูกมีอาการเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน คุยไปจนตี 4 กว่าเกือบตี 5 น้องเริ่มมีอาการเพ้อ พูดไม่รู้เรื่อง ถามโน่น ถามนี่ อันนี้อะไร ไม่ใช่ของหนู ไม่เอา พยายามจะแกะและดึงสายที่ฉีดยาออกจนยื้อไม่ไหว จึงเรียกพยาบาลมาช่วย เขาเข้ามาดูและเอายามาให้อีกหลอด มาวัดไข้และความดัน หลังจากน้องเริ่มเพ้อหนักขึ้น ในช่วงเช้าตี 5 ถึง 6 โมงของวันที่ 4 มี.ค. 65 น้องไม่รู้เรื่องแล้ว พยาบาลโทรไปหาหมอ จนหมอมาดูแล้วบอกให้เช็ดตัว ให้แม่ไปซื้อผ้าเช็ดตัวมาเช็ดตัว เห็นหมอและพยาบาลมารุมที่ตัวน้อง จึงรีบตะโกนบอกลูกว่า แม่อยู่ตรงนี้นะครับๆ
นางสาย เล่าต่อว่า ตนยืนรออยู่ข้างนอก พอน้องสงบได้สักพัก ไม่รู้ว่ามีการฉีดยาอะไรให้ หมอถามอะไรน้องก็ไม่ตอบ เมื่อตนเข้าไปคุยกับลูก ถามว่าลูกจำได้ไหมว่าชื่ออะไร ลูกก็บอกชื่อสกุล แต่น้องเริ่มมีอาการเหม่อลอย ตนคิดว่าลูกจะได้ผ่าตัด ตอนนั้นมีอาจารย์หมอมาดู น้องมีอาการนิ่งๆ และเบลอสลับกับโวยวาย จากนั้นมีพยาบาลมารุมจับน้อง ให้นำยาและเครื่องมืออื่นๆมา มีการจับน้องมัดแขน มันขา เนื่องจากน้องดิ้นเพราะความเจ็บปวด ตอนนั้นหมอเดินมาบอกแม่ว่า อาการน้องหนักนะคุณแม่ หลังจากตี 5 ถึง 6 โมงเช้า ส่งน้องไปทำสแกนคอมพิวเตอร์ในอาการเพ้อ หลังมีการรุมใส่สายเครื่องมือต่างๆ พร้อมจะพาน้องเข้าห้องผ่าตัด มีใส่สายและมีที่ปั๊มหัวใจด้วย จนช่วงเวลา 09.33 น. มีการนำน้องเข้าห้องผ่าตัด และให้แม่เซ็นเอกสารและแม่นั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัด กระทั่งประมาณ 10 โมงกว่า เจ้าหน้าที่นำน้องออกมา หมอบอกว่า ยังไปกับน้องไม่ได้ น้องต้องไปตึกอุบัติเหตุห้องไอซียู 2 ก่อน
ต่อมาหมอที่ผ่าตัดออกมา และบอกว่าน้องอาการหนักมาก 50-50 หมอผ่าท้องน้องแล้ว พบว่าใส่ติ่งแตก หนองเต็มท้องเลย ตนถึงกับร้องไห้โฮ แล้วถามหมอว่า ก่อนหน้านี้หมอก็คอนเฟิร์มว่า เด็กเป็นใส่ติ่งอักเสบ แล้วทำไมไม่ผ่าให้น้องตั้งแต่ 4 ทุ่มเมื่อคืน หมอก็ไม่ตอบอะไร โดยตนนั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน จากนั้นก็มีการช่วยชีวิตเด็กอีก ตนรอประมาณ 11 โมง หมอเดินมาแม่อีกว่า น้องความดันต่ำ 50-50 ก็โทรบอกญาติ โทรบอกพี่สาวให้ช่วยบนเจ้าที่เจ้าทางให้หน่อย ขอให้น้องรอด กระทั่งรอจนเที่ยงกว่า หมอออกมาบอกอีกว่า น้องอาการหนักอีกรอบ 50-50 เหมือนเดิม ก็เลยถามว่า น้องอาการเป็นอย่างไรบ้าง จนหมอยอมให้แม่เข้าไปดูน้องตอนบ่ายโมงเศษ ตอนนั้นมีสายเต็มไปหมด ลูกนอนนิ่งเหมือนไม่รับรู้อะไร แม่ไปจับมือและพูดข้างหูลูกว่า "น้องกานต์ครับ ได้ยินแม่ไหม" ตอนนั้นเห็นแค่มือลูกกระดิก เหมือนเขาพยายามจะลืมตาขมวดคิ้ว เพื่อลืมตาเท่านั้น
กระทั่งเวลาประมาณบ่าย 2 กว่า ก็มีพยาบาลผู้หญิงแผนกเด็กโทรมาบอกว่า อาการน้องแย่มาก ไม่ตอบสนองกับยา 2 ตัว ถ้ายาตัวที่ 3 ให้ไปแล้วน้องไม่ตอบสนอง ถือว่าน้องไม่รอด น้องต้องเสียชีวิต แม่ได้ขอร้องให้ช่วยเหลือชีวิตลูกอย่างเดียว กระทั่งบ่าย 3 กว่า หมอเดินมาบอกอีกว่า อาการน้องหนัก เจ้าหน้าที่และหมอมา บอกว่า น้องหัวใจหยุดเต้น ให้เข้าไปดูขณะกำลังปั๊มหัวใจ ชีพจรลูกไม่เต้นแล้ว ไม่ตอบสนองยาตัวที่ 3 ถ้าปั๊มหัวใจไปอีก 30-40 นาที ไม่ตอบสนอง แสดงว่าน้องหัวใจหยุดเต้น โดยตนนั่งรออยู่ตรงนั้น อยู่จนครบเวลา ช่วงประมาณเวลา 15.30 น.หลังเขาหยุดทำ PCR และเดินออกมาแจ้งว่า ลูกตายแล้ว
นางสาย บอกว่า ข้องใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและหมอ ว่าทำไมการรักษาไส้ติ่งอักเสบของโรงพยาบาลนี้ไม่เหมือนโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ขนาดเด็กอ้วนในกรุงเทพฯ หรือคนอื่นๆ เมื่อหมอรู้ว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ เขาก็ผ่าเพื่อช่วยเหลือเลย ไม่รอให้ใส้ติ่งแตก แต่กรณีนี้หมอปล่อยให้น้องรอ น้องปวดจนน้องทนไม่ไหว จนใส้ติ่งแตก ข้องใจว่า ทำไมไม่ทำการรักษาให้น้อง ตอนที่น้องรู้เรื่องรู้สึกตัวดีทุกอย่าง อยากร้องเรียนเรื่องนี้ไปถึงกระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากการรักษาล่าช้า ความผิดพลาดของแพทย์ที่ไม่ดำเนินการสักที ทั้งที่คอนเฟิร์มว่า น้องไส้ติ่งอักเสบ ทำไมไม่รักษาตั้งแต่ตอนนั้น ทำไมมัวแต่คุยเล่นว่า ติดโควิดหรือเปล่า ตรวจแล้วตรวจอีก ทั้งที่เด็กไปโรงพยาบาลไม่ได้โคม่า ช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง แต่ 16 ชั่วโมงที่อยู่โรงพยาบาล ลูกของตนก็เสียชีวิต
“คนปวดท้องใส่ติ่งอักเสบ ปกติต้องผ่าตัดทันที ทำไมปล่อยให้น้องทรมานจนน้องตาย ทำไมต้องรอให้น้องเป็นแบบนี้ ตอนนี้นำศพลูกมาจัดงานศพที่ที่วัดถ้ำเขามะกา รอยต่อ ต.ศาลาลำดวน อ.เมือง จ.สระแก้ว ครอบครัวต้องการร้องเรียนแพทย์ และ รพ.ในกรณีนี้ โดยได้ปรึกษาทนายความไว้แล้ว ลูกที่เสียชีวิตเป็นลูกคนที่ 5 คนสุดท้อง ญาติและทุกคนในหมู่บ้านที่มางานศพถามว่า ไม่น่าเชื่อว่าเด็กแข็งแรงดี ปวดท้องใส้ติ่งมาเสียชีวิตแบบนี้ เคยเห็นแต่คนพูดว่า รพ. ปล่อยให้คนตาย ไม่คิดว่าจะมาเจอกับลูกตัวเอง ซึ่งหมอชี้แจงหลังลูกตายว่า หมอผ่าไปแล้วมีหนองเต็มท้องเลย น้องเลยติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง เขาถามว่า อยากให้ รพ.ทำอะไรบ้าง ซึ่งยายของเด็กบอกไปว่า รพ. ควรจะชดใช้เกี่ยวกับเรื่องนี้" นางสาย กล่าว
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อค่ำวันที่ 5 มี.ค. 65 ที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่เดินทางมาร่วมงานสวดอภิธรรมศพของน้องกานต์ และเข้าไปพุดคุยกับแม่ของเด็กว่า ให้คุณแม่ทำบุญให้น้องไปเลย ไม่ต้องไปคิดเรื่องค่าสินไหมอะไร เดี๋ยวทางโรงพยาบาลจะจัดการให้ ไม่ต้องกลัวเรื่องเงินชดเชยเยียวยา เดี่ยวคุณหมอจะเดินเรื่องให้ โดยจะติดต่อมาเป็นระยะๆ ซึ่งทางโรงพยาบาลได้นัดให้แม่ของเด็กและญาติ เดินทางไปพูดคุยที่โรงพยาบาล ในวันจันทร์ที่ 7 มี.ค. 65 เวลา 14.30 น. หลังจากครอบครัวเลื่อนการเผาศพน้องจากวันจันทร์ที่ 7 มี.ค.65 เป็นวันพุธที่ 9 มี.ค. 65 โดยจะพาทนายความเดินทางไปด้วย