เป็นข่าวใหญ่โตเมื่อปี 62 ที่คุณแม่ท่านหนึ่ง นามว่าอาม่าฮวย ตัดสินใจฟ้อง นางมาวดี ลูกสาวแท้ๆของตัวเองฐานยักยอกเงินกว่า 250 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลอาญาพระโขนงพิพากษา นางมาวดี มีความผิดในคดีลักทรัพย์ ให้จำคุก 12 ปี หลายคนเข้าใจว่าเป็นการตัดสินคดียักยอกเงิน 250 ล้านบาท ความเป็นจริงเป็นคนละคดีกัน ซึ่งคดีนี้ นางมาวดีถูกฟ้องลักทรัพย์ มูลค่า 24,757,400 บาท โดยนางมาวดีได้ยื่นขอประกันตัวเพื่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ต่อไป
.
ผมขอไล่ไทม์ไลน์ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาม่าฮวยและคุณมาวดี
.
ปี 2556 – อาม่าฮวยเริ่มป่วย
มกราคม 2557 - ในช่วงที่อาม่ารักษาตัวในรพ. ได้มีการเปลี่ยนเงื่อนไขการเบิกถอนเงินบัญชีธนาคารจากการเซ็นชื่ออาม่าเป็นพิมพ์ลายนิ้วมือแทน ซึ่งหลังออกจากรพ. อาม่าก็ไปอยู่กับคุณมาวดี (ก่อนหน้านี้อยู่กับลูกชายคนโต)
ปี 2559 – หลังอากง (สามีอาม่า) เสียชีวิต อาม่าฮวยก็ย้ายกลับไปอยู่ที่โรงงานกับลูกชายคนโต และมารู้ว่าเงินได้หายออกไปจากบัญชีธนาคารกว่า 250 ล้านบาท
ปี 2560 - คุณมาวดีถูกฟ้องว่าเนรคุณ แต่สุดท้ายชนะคดี โดยมีเงิน 5 ล้านบาทที่คุณมาวดีโอนให้พี่ชายก่อนหน้านี้เพื่อให้ไปดูแลอาม่า เป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่ทำคุณมาวดีชนะ
ปี 2562 - อาม่าฮวยและหลานสาว ได้ขอความช่วยเหลือจากทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ให้มาเป็นทนายความ
ปี 2562 - 2563 - มีการแจ้งความ แจ้งข้อกล่าวหา ฟ้องคดีกัน
17 สิงหาคม 2564 - ศาลอาญาพระโขนงพิพากษานางมาวดีมีความผิดจำคุก 12 ปี โดยไม่รอลงอาญา
จากการเปิดใจครั้งแรกใน “ถกไม่ถียง” คุณมาวดียืนยันว่าที่ผ่านมาเธอกับอาม่ารักกันดี อยู่ด้วยกันมากว่า 50 ปี ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด รู้ใจอาม่าทุกอย่าง ชอบกินอะไร รู้หมด แต่หลังจากปี 2559 ที่อาม่ากลับไปอยู่กับลูกชายคนโต ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เธอบอกว่าเธอถูกกีดกันไม่ให้เจอแม่ของตัวเอง แม้แต่งานแต่งของลูกชายเธอ เธอยังไม่สามารถเข้าไปในบ้านเพื่อบอกข่าวดีกับอาม่าเลย ด้วยเหตุนี้เอง เธอบอกว่าเธอไม่ได้เจอหน้าแม่ตัวเองมานานกว่า 4 ปีแล้ว
.
ผมถามคุณมาวดีในประเด็นที่สังคมสงสัย ว่าทำไม ถึงต้องรีบเปลี่ยนเงื่อนไขการเบิกถอนเงินบัญชีธนาคารจากเซ็นชื่ออาม่าเป็นพิมพ์ลายนิ้วมือทั้งที่อาม่ายังนอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล ทำไมไม่รอให้อาม่าหายดีค่อยไปทำที่ธนาคาร คุณมาวดีบอกว่าเป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างอากงและตน โดยอาม่าก็รับรู้ เพราะมีค่าใช้จ่ายของบริษัทที่ต้องจ่าย ทั้งค่าของ ค่าคนงาน และอื่นๆที่รอไม่ได้ ต้องจ่ายเลย ซึ่งการเปลี่ยนเงื่อนไขในครั้งนั้นก็ไม่มีพี่ชายมาร่วมเป็นพยานด้วย โดยคุณมาวดีบอกผมว่าไม่รู้ว่าพี่ชายอยู่ที่ไหน
.
ที่ผ่านมา เราจะได้ยินข่าวจากฝั่งอาม่าฮวยเป็นส่วนใหญ่ ส่วนคุณมาวดีเองก็ไม่ค่อยได้ออกสื่อสักเท่าไหร่นัก ซึ่งบางครั้งความเงียบก็อาจจะทำให้คนกลายเป็น “จำเลยสังคม” ได้ แต่ถ้ามองลึกลงไป ก็อาจจะเห็นว่า การกีดกันก็ดี การฟ้องร้องก็ดี ล้วนเกิดขึ้นหลังจากที่อาม่าฮวยได้ออกจากการดูแลของคุณมาวดีแล้ว การสื่อสารใดๆระหว่างอาม่ากับคุณมาวดีก็ถูกตัดขาดไป ทุกวันนี้คุณมาวดีเองก็คงไม่รู้ว่าลึกๆแล้ว อาม่าคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร หรือ ได้รับข้อมูลอะไรจากใครบ้าง และเรื่องจริงที่น่าเศร้าก็คือ คุณมาวดีก็อาจจะไม่มีวันได้รู้
.
สุดท้าย ไม่ว่าผลคดีต่างๆของอาม่ากับคุณมาวดีจะจบลงอย่างไรในอนาคต สิ่งหนึ่งพี่ผมอยากจะสนับสนุนให้ทุกครอบครัวทำ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนก็ตาม ก็คือพินัยกรรม เพราะคนเราไม่แน่นอนครับ ตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ วันนี้รักกัน วันหน้าอาจจะเกลียดกัน ควรวางแผนจัดการให้เรียบร้อย วัวควาย มอเตอร์ไซค์ ที่ดิน นาข้าว บ้าน เงิน จะเป็นของใคร ก็ให้ชัดเจนไปเลย เพื่อเหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
.
ทิน โชคกมลกิจ ถกไม่เถียง
เดือดร้อน ไร้ที่พึ่ง นึกถึง #ถกไม่เถียง