วันที่ 17 ก.พ. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงกรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำ ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า เรื่องนี้มีการพูดซ้ำกันไปมาหลายรอบ ซึ่งเราต้องแยกแยะให้ออกว่าสถานะการณ์มันเป็นยังไงตอนนี้ สถานการณ์โควิดก็คือโควิด สถานการณ์ความมั่นคงก็คือสถานการณ์ความมั่นคง ดังนั้นเรื่องโครงการเรือดำน้ำนี้ที่มีการพูดกันว่าทำไมรัฐเอาเงินไปซื้ออาวุธนั้น ถ้าลองพิจารณาดูว่าการขับเคลื่อนประเทศเราต้องมีการกำหนดทิศทางในหลายๆ ด้าน
การมีเรือดำน้ำเป็นการสร้างความมั่นใจว่าไทยมีศักยภาพที่จะปกป้องอธิปไตยของประเทศ พื้นที่ของไทยติดทะเลกว่า 3,000 กิโลเมตร ในยามปกติเรือดำน้ำจะหน้าที่ปกป้องทรัพยากรทางทะเลของไทย ซึ่งเราไม่เคยมีอุปกรณ์สำรวจในระดับลึกถึงท้องทะเล โดยเฉพาะฝั่งอันดามัน อ่าวไทยถ้าดำลึกไม่ได้ก็ดำตื้นหน่อย ไม่จำเป็นต้องดำลึกตลอด หรือไม่ก็ลอยตัวขึ้นมาก็ได้ อย่างน้อยก็เป็นศักยภาพของเรา เฝ้าระวังในพื้นที่ท้องทะเลทั้งสองฝั่งของเรา เพื่อดูแลรักษาทรัพยากรของไทย การประมงทั้งในและนอกน่านน้ำ ตรวจตราเหตุความมั่นคงทางทะเล ขบวนการค้ามนุษย์ทางทะเล ซึ่งมันต้องเสริมงานกันไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว มันจะเป็นภาระที่หนัก
"ในวันที่12 ก.ค. 2563 เราทราบว่ามีเรือรบจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาลาดตระเวนค้นหาผู้อพยพชาวโรฮีนจาในรฝั่งทะเลอันดามัน โดยไม่เกรงใจเรา เขาเข้ามาทางลับ ทางใต้น้ำ ซึ่งผมก็ไม่อยากกล่าวถึง เรื่องนี้สะท้อนภาพพลังอำนาจทางทะเลของกองทัพเรือถึงแม้ว่าประเทศจะสงบแต่การกระทบกระทั่งกันอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ อาจะเป็นสงครามแบบจำกัดคือเกิดเร็ว สงบเร็ว เจรจากันแล้วเลิก หรืออาจจะบานปลายไปอย่างเช่นในหลายภูมิภาคในเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการแย่งชิงดินแดน ปัญหาเรื่องเขตแดน หรือแย่งผลประโยชน์ของชาติทั้งในทะเลและบนบก"
ในเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำนั้นได้มีการแจ้งไปแล้ว คือการทำสัญญา จ่ายเงินหนึ่งงวด จากนั้นทำการทยอยจ่ายผ่อนชำระ ไม่ใช่ว่าสั่งแล้วจะได้เลย เพราะฉะนั้นต้องรอถึง 6 ปีนะครับกว่าจะสำเร็จ เรือเป็นลำใช้เวลาสร้างนานกว่า 6 ปี ต้องส่งคนไปเรียนรู้
"ทุกคนต้องเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเอาชีวิตไปฝากไว้ ทั้งหมดเพื่อพวกท่านทุกคน ที่มีความสุข มีความสงบอยู่ในเวลานี้ในประเทศ นึกถึงเขาบ้างที่เขาเสี่ยงชีวิตของเขา เขาก็มีชีวิตมีครอบครัวของเขาเหมือนกัน แล้วคนที่ลงไปอยู่ในเรือดำน้ำเขาก็เสี่ยง แต่เขาถือว่าเป็นหน้าที่ของเขา เป็นความภาคภูมิใจของเขา เราทุกคนต้องภูมิใจในความเป็นชาติของเรานะครับ ความเข้มแข็งของเรา อธิปไตยของเราตั้งแต่อดีตยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน แล้วจะทำลายสิ่งเหล่านั้นไปทำไม"
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ถ้าหากไม่ซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และลำที่ 3 ไทยก็ไม่ต้องจ่ายค่าปรับให้จีน แต่จะส่งผลถึงความน่าเชื่อถือของไทยเพราะว่ารัฐบาลได้มีการเจรจาแบบ G2G ซึ่งเป็นการเจรจาแบบ 3 ลำมาโดยตลอดทำให้ได้ราคาที่มันลดลง มีการให้ในเรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ครบถ้วน
"เมื่อเราเทียบผลประโยชน์ทางทะเล 24 ล้านล้านบาท กับราคาที่ซื้อมาคิดเป็นเปอร์เซ็น 0.093 เท่านั้น มันจึงมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และตอบสนองยุทธศาสตร์ความมั่นคง การที่หลายท่านคิดว่าจะซื้อไปทำไมนั้น จะคิดอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าคิดแบบนี้เราจะอยู่กันยังไงในวันข้างหน้า อนาคตเราก็ไม่รู้ ยามศึกเรารบ ยามสงบเราก็ต้องเตรียมพร้อม
หลักการสำคัญมันมีแค่นี้ พร้อมทั้งขวัญกำลังใจ คน เครื่องไม้เครื่องมือ วันนี้ความรุนแรงของอาวุธต่างๆ เกิดขึ้นเร็วขึ้น แม่นยำขึ้น ถ้าไม่พัฒนาตัวเองไม่ปรับปรุงตัวเองไม่ได้ ชีวิตทุกคนมีความเสี่ยงทั้งหมด แล้วท่านจะรู็ว่าเวลาไปเจอสถานการณ์การสู้รบจริงๆ จะเป็นอย่างไร ท่ามกลางกระสุนปืนใหญ่ - ปืนเล็ก กระสุนรถถัง ผมถึงเห็นใจเขา เห็นใจเขาบ้างเถอะครับลูกหลานของท่านทั้งนั้น เขาตายไปเขาเจ็บไปจะทำอย่างไร ดังนั้นต้องแก้ไขให้ได้มากที่สุด"
นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายก่อนจบการชี้แจงประเด็นเรือดำน้ำว่า "ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง"
+ อ่านเพิ่มเติม