ศาลอุทธรณ์ ยกฟ้อง อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา และอดีตเลขาเจ้าคณะ เอี่ยวคดีเงินทอนวัด

   ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่นายเอื้อน กลิ่นสาลี อดีตพระพรหมดิลก ซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา, อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม, และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร กับ นายสมทรง อรรถกฤษณ์ อดีตพระอรรถกิจโสภณ ซึ่งเป็นอดีตเลขาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ตกเป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยเห็นว่างบประมาณที่สำนักงานพระพุทธจัดสรรมาเป็นงบพระปริยัติธรรม 9 วัด จำนวน 72 ล้านบาท เพื่อเป็นการสนับสนุนในสถาบันการศึกษาของวัดที่มีความพร้อม แม้ ว่าวัดสามพระยาจะไม่มีโรงเรียนสอนปริยัติธรรมแต่มีการเรียนการสอนในระดับชั้นอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน อีกทั้งจำเลยทั้ง 2 เป็นบุคคลภายนอกของสำนักงานพระพุทธศาสนาทำให้ไม่ทราบความเป็น จุดประสงค์ของเงินจำนวนนี้ เมื่อได้รับเงินมานำใช้บูรณะปฏิสังขรณ์วัดและมีพยานหลักฐานว่านำไปสร้างอาคาร่มธรรมจริง โดยจำเลยทั้ง 2 เป็นผู้ดูแลวัดจึงมีสิทธินำเงินไปทะนุบำรุงวัดและไม่ได้ถอน รับ โอน หรือ อำพรางแหล่งที่มาของทรัพย์สิน จึงไม่ผิด และตามคำอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษาแก้ ยกฟ้อง

   คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกอดีตพระพรหมดิลก จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 6 ปี เนื่องจากเห็นว่าเป็นเจ้าพนักงานกระทำความผิด ส่วนอดีตพระอรรถกิจโสภณ ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี และทั้งสองอดีตพระ รับโทษจำคุกไปแล้ว 1 ปี 3 เดือน กับอีก 2 วัน ซึ่งเมื่อศาลอ่านคำพิพากษา บรรดาฆราวาส ที่เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษา ในห้องพิจารณาคดีต่างร้องไห้ด้วยความดีใจกับคำพิพากษาในครั้งนี้ ขณะที่ในส่วนของสองจำเลย หลังจากศาลพิพากษาเสร็จสิ้น จำเลยทั้งสองมีสีหน้าโล่งอกกับคำพิพากษาดังกล่าว ก่อนเดินทางกลับอดีตพระอรรถกิจโสภณได้พยักหน้ายอมรับว่า รู้สึกสบายใจกับคำพิพากษาในครั้งนี้ ขณะที่นายอรรณพ บุญสว่าง ทนายความ ระบุว่าหลังจากนี้จะถึงศาลชั้นฎีกาหรือไม่ ต้องรอดูพนักงานอัยการยื่นขออนุญาตฎีกาภายใน 30 วัน มิฉะนั้นคำพิพากษาก็ถือเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งหากคดีสิ้นสุดแล้วจะมีการพิจารณาอีกครั้งว่าจะดำเนินการเรียกร้องในส่วนที่พระทั้งสอง ได้รับโทษจองจำไป 1 ปี 3 เดือน 2 วัน อย่างไรต่อไป ส่วนหลังจากนี้ อดีตพระพรหมดิลกจะกลับมาสวมใส่ จีวรพระสงฆ์หรือไม่นั้น จากการสอบถามอดีตพระพรหมดิลกตั้งใจว่าหลังจากนี้จะกลับมาสวมใส่จีวร พร้อมตั้งคำถามฝากไปถึงผู้เกี่ยวข้องว่า จะมีขั้นตอนอย่างไรโดยที่ผ่านมา อดีตพระพรหมดิลก ยังไม่เคยเปล่งวาจา ลาสิกขา ซึ่งตามพระธรรมวินัยยังถือว่าเป็นพระสงฆ์และยังคงรักษาศีล มาอย่างต่อเนื่อง