จากกรณีการเสียชีวิตปริศนาของ “น้องชมพู่” เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ซึ่งพบเป็นศพอยู่ใกล้โขดหินบนภูเหล็กไฟ บ้านกกกอก อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ซึ่งต่อมาผลชันสูตรศพพบบาดเเผลที่อวัยวะเพศ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงพื้นที่หาเบาะแสติดตามจับกุมตัวคนร้ายนานนับเดือน แต่ก็ยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ ท่ามกลางกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ของคนทั้งประเทศ
อ่านสรุปม้วนเดียวจบ “คดีน้องชมพู่” ก่อนหน้านี้
กระทั่งล่าสุด มีกระแสข่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหลักฐานมัดตัวคนร้ายจนถึงขั้นสามารถปิดคดีได้แล้ว ขณะที่ พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) แย้มข้อมูลสำคัญในรายการโหนกระแสว่า “ผมคุยกับผู้บังคับการจังหวัดมุกดาหาร มีเส้นผม หรือเส้นขนอยู่เส้นหนึ่ง ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นดีเอ็นเอของน้องชมพู่ แต่ทางพิสูจน์หลักฐานต้องการตรวจให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพราะเส้นผมเส้นขนนี้ มีลักษณะไม่น่าจะเป็นของน้องชมพู่ และมีความผิดปกติ แต่สิ่งสำคัญ คือ เส้นผมเส้นขนนี้ มีดีเอ็นเอเดียวกันกับน้องชมพู่”
(พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช)
เหตุใดเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงยังไม่สามารถจับกุมตัวคนร้ายได้? อุปสรรคอยู่ที่อะไร? ทีมข่าวช่อง 3 ออนไลน์ พูดคุยกับ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาฯ มหาวิทยาลัยรังสิต ในประเด็นกล่าว ซึ่งได้ประเด็นสำคัญหลายประการ
(รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล)
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ เปิดเผยกับทีมข่าวว่า “ผมเชื่อว่าตำรวจน่าจะมีชื่อผู้ต้องสงสัยในใจแล้ว เพียงแต่ว่ากำลังรอพยานหลักฐาน หรือพยานบุคคลที่เชื่อมโยงเพื่อมัดตัวคนร้าย เพราะเมื่อคดีเดินไปถึงชั้นศาลแล้ว หลักฐานต่างๆ จะต้องดำเนินคดีกับคนร้ายได้ และศาลจะต้องตัดสินลงโทษผู้กระทำผิด”
- หลักฐานเลือนลาง แต่การกระทำไม่จางหาย
เมื่อทีมข่าวช่อง 3 ออนไลน์ สอบถามถึงโจทย์ยากของคดีดังกล่าว รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ ให้ความเห็นว่า “เนื่องจากบริเวณบ้านของน้องชมพู่น่าจะไม่มีกล้องวงจรปิด และช่วงเกิดเหตุอาจจะไม่มีพยานบุคคลเห็นวินาทีที่คนร้ายลักพาตัวน้องชมพู่ไป จึงทำให้ตำรวจหาข้อมูลได้อย่างยากลำบาก"
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ ยังกล่าวอีกว่า “ตำรวจต้องอาศัยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และต้องอาศัยบุคคลที่คาดว่าน่าจะเห็นเหตุการณ์มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ช่วงเวลาหลังเกิดเหตุอาจจะเจอผู้ต้องสงสัยขับขี่รถจักรยานยนต์อยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ เพื่อไล่เรียงเหตุการณ์ และการรวบรวมพยานหลักฐานแบบนี้ก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาในการสอบปากคำ หรือการตรวจพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญ”
- ปมปริศนาแรงจูงใจ แย้มคนร้ายอยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกล!
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ อธิบายว่า “โดยหลักๆ แล้วนั้น คดีอาชญากรรมแต่ละประเภทจะมีสาเหตุที่แตกต่างกัน กรณีของน้องชมพู่ ซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงจึงสันนิษฐานได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งไม่น่าจะมีความโกรธแค้นเป็นการส่วนตัวหรือขัดผลประโยชน์กับคนร้าย ดังนั้น ข้อสันนิษฐานประการแรกก็เชื่อได้ว่าน้องชมพู่ถูกล่อลวง หรือถูกคนร้ายใช้กำลังบังคับน้องไปล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งเรื่องนี้ผลการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์จะสามารถบอกได้ และเชื่อว่าคนร้ายน่าจะเป็นคนที่รู้จักพื้นที่เป็นอย่างดี”
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ ยังเปิดเผยอีกว่า “ต้องไปดูว่าครั้งแรกที่มีการชันสูตร แพทย์ได้มีการเก็บหลักฐานอะไรไว้บ้างหรือไม่ เช่น มีการเก็บสารจากช่องคลอดของน้องชมพู่หรือไม่ หากครั้งแรกไม่ได้เก็บก็ต้องยอมรับว่า การชันสูตรครั้งที่ 2 ร่องรอยหลักฐานบนร่างกายก็อาจจะสูญหายไปพอสมควร ดังนั้น หากกระบวนการสอบสวนตั้งแต่ชั้นตำรวจที่รับแจ้งเหตุ พนักงานสอบสวน ฝ่ายสืบสวน แพทย์นิติเวช รวมไปถึงบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้ความสำคัญ และสืบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจังตั้งแต่แรกก็จะทำให้หาตัวคนร้ายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น"
"โดยพนักงานสอบสวนจะรวบรวมหลักฐานต่างๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ในการหาตัวผู้กระทำความผิด ซึ่งหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นหลักฐานที่สำคัญที่จะนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม หากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์หาได้ยากก็จะต้องใช้หลักฐานอื่นๆ ประกอบกัน อาทิ การใช้โทรศัพท์ของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด หรือพยานบุคคล พยานแวดล้อมต่างๆ และหลักฐานจากคำให้การที่ต้องสงสัยกล่าวอ้างเพื่อนำมาเปรียบเทียบกับหลักฐานทั้งหมด” รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ กล่าว
- บทสรุปคดีน้องชมพู่ ยังมีหวังหรือไม่?
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ วิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมาว่า “เนื่องจากคดีนี้กำลังเป็นที่สนใจสำหรับสื่อมวลชน และสังคมไทย ดังนั้น เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทุ่มเทสรรพกำลังอย่างเต็มความสามารถ ในการหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้ และประการสำคัญคือจะต้องเป็นการจับผู้กระทำความผิดที่แท้จริง ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ พยานบุคคล หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ การตรวจร่องรอยสถานที่เกิดเหตุตั้งแต่ช่วงแรก”
“ปัจจัยสำคัญหลายประการในคดีนี้คือ ตอนแรกที่พบศพ น้องชมพู่ไม่ได้สวมเสื้อผ้า ประการต่อมาระยะทางที่พบศพห่างจากตัวบ้านหลายกิโลเมตร จึงเป็นไปได้ยากมากที่เด็กจะเดินไปถึงจุดนั้น ประการสุดท้าย ตามร่างกายมีร่องรอยของการถูกทำร้าย และบริเวณอวัยวะเพศมีร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งชี้ว่าน้องถูกล่วงละเมิดทางเพศ ดังนั้น พยานหลักฐานตรงนี้ก็จะเป็นหน้าที่ของตำรวจในการเชื่อมโยงทั้งหมดเพื่อนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างแท้จริง ซึ่งก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่าย” รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ กล่าวทิ้งท้าย.