จากกรณีที่มีหญิงสาวรายหนึ่งปวดฟันคุด แล้วซื้อ ‘ยาไอบูโพรเฟน’ มารับระทานแล้วเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง จนผิวหนังเกิดอาการพุพองไหม้ดำทั้งตัว กระทั่ง เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างถึงอันตรายของยาไอบูโพรเฟน ตามที่รายงานไปแล้วนั้น
ขณะที่ ประชาชนจำนวนมากตั้งข้อสงสัยถึงอันตรายและความเสี่ยงของยาดังกล่าว ทีมข่าวช่อง 3 ออนไลน์ จึงได้สอบถามไปยัง เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อสอบถามรายละเอียดอันเป็นประโยชน์ที่ประชาชนควรรู้…
โดย ภก.สุภัทรา รองเลขาธิการ อย. ได้กล่าวถึงอาการของหญิงสาวรายดังกล่าวว่า “นั่นเป็นอาการแพ้ยาไอบูโพรเฟนอย่างรุนแรง ซึ่งจะรู้สึกเจ็บปวดร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุ เกิดผื่นแดง ซึ่งตรงกลางของผื่นมีสีเข้มและรอบข้างมีสีจาง ซึ่งผื่นจะลุกลามจนกระทั่งพุพอง และช่องปาก ริมฝีปาก จมูกเกิดอาการพุพอง บางครั้งอาการหนักถึงขั้นผิวไหม้ลอกเป็นสีดำไหม้ “
ยาไอบูโพรเฟน ใช้เพื่อแก้อาการอะไร?
เมื่อสอบถามถึงข้อมูลเฉพาะของยาไอบูโพรเฟน ภก.สุภัทรา รองเลขาธิการ อย. ให้ข้อมูลว่า “ไอบูโพรเฟนเป็นยาต้านอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ซึ่งเป็นยาอันตรายต้องสั่งจ่ายผ่านเภสัชกรเท่านั้น"
"โดยยาไอบูโพรเฟนใช้รักษาอาการปวดหัว ปวดฟัน ไมเกรน ปวดประจำเดือน หรือใช้ลดไข้ แก้อักเสบตามข้อ รวมถึงอักเสบกล้ามเนื้อ เอ็น จากการบาดเจ็บต่างๆ” ภก.สุภัทรา รองเลขาธิการ อย. กล่าว
ข้อควรระวัง ห้ามรับประทานร่วมกับอะไร?
- ฤทธิ์ของยาส่งผลเสียต่อกระเพาะและลำไส้ ดังนั้น ต้องรับประทานหลังอาหารทันที เนื่องจากยาสามารถกัดกระเพาะได้
- ห้ามรับประทานร่วมกับยากลุ่มแอสไพริน เนื่องจากมีผลข้างเคียง คือ การกัดกระเพาะเช่นกัน
หากรับประทานยาไอบูโพรเฟน และมีอาการดังต่อไปนี้ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที!
- มีอาการลมพิษ
- มีอาการคัน
- ความดันสูง
- เป็นไข้
- เกิดผื่นแดง
- เกิดตุ่มน้ำพอง
วิธีปฐมพยาบาล
- หยุดรับประทานยาทันที
- บรรเทาอาการเบื้องต้น ให้ประคบเย็น โดยใช้น้ำแข็งประคบ และใช้ผ้าพันแผลปิดเอาไว้ในบริเวณที่เกิดผื่น หรือบริเวณที่ผิวแสบร้อน
- นำยาที่รับประทานไปให้แพทย์ตรวจสอบ และเดินทางไปพบแพทย์ทันที
กลุ่มเสี่ยงที่ไม่ควรรับประทาน
- สตรีมีครรภ์
- ผู้ป่วยโรคกระเพาะ เนื่องจากมีฤทธิ์กัดกระเพาะอย่างรุนแรง
- ผู้ป่วยโรคตับ ไต เนื่องจากจะทำให้ตับและไตทำงานมากยิ่งขึ้น
- ผู้ป่วยไข้เลือดออก
- ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ
- ผู้ที่เคยแพ้ยาไอบูโพรเฟน
- ผู้ป่วยหอบหืด ภูมิแพ้ ลมพิษ
ไอบูโพรเฟนกับโควิด-19 = ทรุดหนัก?
เมื่อสอบถามถึงกรณีที่ผู้ป่วยโควิด-19 รับประทานยาดังกล่าว ภก.สุภัทรา รองเลขาธิการ อย. ระบุว่า "ยาไอบูโพรเฟนมีผลข้างเคียงหลายประการ และเมื่อใช้ในผู้ป่วยโควิด-19 จะส่งผลให้ผู้ป่วยรายนั้นๆ มีอาการรุนแรงมากขึ้น"
"หากผู้ป่วยไม่ได้รับการซักประวัติการแพ้ยาจากแพทย์หรือเภสัชกร แนะนำว่า ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เนื่องจากผู้ป่วยจะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงค่อนข้างมาก จึงอยากขอเตือนประชาชนว่า ไม่ควรซื้อยาในกลุ่ม NSAID (ยาต้านอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์) รับประทานเองโดยเด็ดขาด" ภก.สุภัทรา รองเลขาธิการ อย. กล่าว
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยกเลิกคำแนะนำว่าผู้ที่มีอาการของ โควิด-19 ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาในกลุ่ม NSAID ยาไอบูโพรเฟน เพื่อลดไข้ในผู้ป่วยโควิด-19
ต่อมา องค์การอนามัยโลกรายงานผลการศึกษา ซึ่งทำโดยการทบทวนวรรณกรรม และได้ข้อสรุปว่าจากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงว่าการใช้ยากลุ่ม NSAID กับผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะส่งผลเสีย ได้แก่ การเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์รุนแรง การต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเฉียบพลัน, ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการมีชีวิตอยู่ต่อ
ในสหราชอาณาจักร ได้มีการทบทวนข้อมูลทางวิชาการเช่นเดียวกัน โดยศึกษาผลของการใช้ยาในกลุ่ม NSAID แสดงว่า ไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่จะสนับสนุนว่าการใช้ยาในกลุ่ม NSAID แบบเฉียบพลัน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโควิด-19 หรือทำให้โควิด-19 รุนแรงขึ้น
ล่าสุด ในวันที่ 2 มิถุนายน 2563 สถาบัน King’s College London ร่วมกับโรงพยาบาลกายส์ และโรงพยาบาลเซนต์โทมัส ในกรุงลอนดอน ได้ทำการทดลองใช้ยาไอบูโพรเฟน เพื่อทดสอบประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วย โควิด-19 โดยบ่งชี้ว่า ยาไอบูโพรเฟน อาจช่วยรักษาอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (acute respiratory distress syndrome) ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไวรัสโคโคนาที่มีอาการรุนแรงได้.