วันที่ 21 ส.ค. 62 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย นพ.วัฒนา พารีศรี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ ได้เปิดเผยผลการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีของผู้ป่วยรายหนึ่ง ซึ่งพบว่ามีก้อนนิ่วมากถึง 1,898 เม็ด
นพ.วัฒนา เปิดเผยว่า ปกติแล้วทางโรงพยาบาลได้มีการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีด้วยวิธีการส่องกล้องทุกวัน วันละ 5-10 ราย ในหนึ่งปีจะผ่าตัดคนไข้นิ่วในถุงน้ำดีประมาณ 1,200 ราย ซึ่งนิ่วในถุงน้ำดีมีหลายประเภท ทั้งเม็ดเล็กๆ หลายเม็ดกระจัดกระจาย หรือเม็ดใหญ่เม็ดเดียว มีได้ทั้งสีดำ สีน้ำตาล สีเหลือง และสีขาว ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของนิ่ว
โดยคนไข้รายล่าสุดที่ผ่าตัดพบก้อนนิ่ว 1,898 เม็ด ซึ่งตั้งแต่ตนผ่าตัดมาเมื่อประมาณปี 2537 รายนี้เป็นรายที่พบก้อนนิ่วมากที่สุด ก่อนหน้านี้ในปี 2549 พบ 495 เม็ด ปี 2552 พบ 920 เม็ด
สำหรับสาเหตุของโรคนิ่วในถุงน้ำดี ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่สันนิษฐานได้ว่าเกิดจากผู้ป่วยมีไขมันสูง แคลเซียมในร่างกายสูง น้ำดีมีการติดเชื้อ หรือท่อน้ำดีมีการอุดตัน เหล่านี้ทำให้เกิดการตกตะกอน โดยยังไม่ได้มีการพิสูจน์ว่าปัจจัยเหล่านี้เป็นสาเหตุของการเกิดโรคร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงทำให้ยังไม่สามารถป้องกันโรคนี้ได้ และโรคนิ่วในถุงน้ำดีพบมากที่สุดในคนอีสาน ประมาณร้อยละ 10 ของประชากรภาคอีสาน
โรคนิ่วในถุงน้ำดี ร้อยละ 30 จะไม่แสดงอาการ แต่จะพบก็ต่อเมื่อมีการตรวจสุขภาพประจำปี มีการอัลตราซาวด์ตรวจช่องท้อง ขณะนี้มีการรณรงค์เรื่องมะเร็งท่อน้ำดี มีการตรวจอัลตราซาวด์ให้กับประชาชนทั่วไป , ส่วนอีกร้อยละ 30 จะมีอาการปวด แน่นท้อง ท้องอืดบ่อย เหมือนโรคกระเพาะ โดยเฉพาะเวลาที่รับประทานอาหารที่มีโปรตีนหรือไขมันสูง แน่นท้องผิดปกติ, อีกร้อยละ 30 เกิดจากโรคแทรกซ้อน เช่น ถุงน้ำดีอักเสบ นิ่วอุดท่อน้ำดี จะทำให้ผู้ป่วยปวดท้องมาก
ทางที่ดีประชาชนควรตรวจสุขภาพประจำปี อัลตราซาวด์ช่องท้อง หรือผู้ที่ปวดท้อง แน่นท้องเรื้อรัง กินยาโรคกระเพาะไม่หาย รักษาไม่หาย ต้องลองอัลตราซาวด์ดู อาจเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้
+ อ่านเพิ่มเติม