วันที่ 16 ส.ค. รายงานจากกรุงเทพมหาคร หรือ กทม. ถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมาธิการ หรือ กมธ. ปฏิเสธการต่อสัญญาสัมปทานการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไปอีก 40 ปี ให้กับกลุ่มบีทีเอส และเตรียมเสนอไปยังที่ประชุมรัฐสภา เนื่องจากประชาชนไม่ได้ประโยชน์และอาจมีความไม่โปร่งใส
ทาง กทม.ในฐานะเจ้าของโครงการ ยืนยันว่าการเจรจายังไม่จบอยู่ระหว่างเจรจากับบีทีเอส ซึ่งหากทางเอกชนยังไม่ยอมรับข้อเสนอ อาทิ ค่าโดยสารตลอดสาย 65 บาท และการแบ่งรายได้ให้ กทม.เพิ่มอีก 1 แสนล้านบาท รวมถึงรับภาระหนี้สินโครงการ 1 แสนล้านบาท การเจรจาคงเดินต่อไปลำบาก และคงต้องเรียกเอกชนรายอื่นเข้ามาเจรจาเดินรถแทน เพราะกทม. ต้องทำให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด และตอบคำถามสังคมให้ได้ว่าเหตุใดจึงเลือกต่อสัมปทานให้เอกชนรายนี้ และขณะนี้เหลือกรอบเวลาเจรจาอีก 15 วัน
ด้าน นางสาวปาหนัน โตสุวรรณถาวร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BEM กล่าวว่า การที่โครงการเดินรถสายสีเขียวอาจเปิดประมูลเพื่อหาผู้เดินรถรายใหม่ ถือเป็นอีกโอกาสในการดำเนินธุรกิจรถไฟฟ้าย่อมเป็นธรรมดาที่ BEM จะสนใจเข้าร่วมแข่งขันเพราะถือเป็นโครงข่ายเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าที่บริหารอยู่แล้วคือ สายสีน้ำเงิน
ส่วนกรณีเงื่อนไขค่าโดยสาร 65 บาท ต้องขึ้นอยู่ที่ภาครัฐกำหนด เช่นเดียวกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้และรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก-ตะวันออก ที่บริษัทสนใจเข้าร่วมประมูลด้วยเช่นกัน
ขณะที่ นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. กล่าวว่าในกรณีที่ผู้เดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวมี 2 เจ้าใช้รถไฟฟ้า 2 ระบบในเส้นทางเดียวกันนั้น สามารถทำได้เช่นเดียวกับในต่างประเทศ แต่การเปิดประมูลใหม่ก็มีโอกาสที่ผู้เดินรถรายเดิมคือ บีทีเอส จะชนะประมูล เพราะมีต้นทุนที่ถูกกว่าคู่แข่งขันรายอื่น สุ่มเสี่ยงต่อการร้องเรียนจากคู่แข่ง คล้ายกับกรณีการประมูลดิวตี้ฟรีภายในสนามบิน ขณะเดียวกันจะไปปิดกั้นให้ห้ามเอกชนรายเดิมเข้าร่วมประมูลก็ไม่ได้
ดังนั้นจึงอยู่ที่การกำหนดเงื่อนไขทีโออาร์ว่า จะต้องเสนอผลตอบแทนให้รัฐมากแค่ไหน และหากมีผู้ประกอบการ 2 เจ้าผลกระทบอาจตกอยู่ที่ค่าโดยสารที่แพงขึ้น เนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้นทั้งด้านซ่อมบำรุงและบริหาร หากรถไฟฟ้าเส้นทางเดียวแต่มีระบบเดินรถแยกเป็น 2 ระบบ
+ อ่านเพิ่มเติม