กรมการค้าภายในเเชิญโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศ 353 ราย หารือขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตาม มติ กกร.โดยต้องแจ้งข้อมูลราคายา เวชภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์ ให้ประชาชนตรวจสอบได้ก่อนใช้บริการ ย้ำไม่ใช่การคุมราคาแต่ต้องเปิดเผยอย่างโปร่งใสให้ผู้บริโภคมีทางเลือก
หลังจากที่ประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ หรือ กกร. เรื่อง การแจ้งราคา การกำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขเกี่ยวกับการจำหน่ายยารักษาโรค เวชภัณฑ์ ค่าบริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาล มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ในวันนี้ (18 มิ.ย.62) กรมการค้าภายในได้เเชิญโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศ 353 ราย เข้าหารือขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตาม มติ กกร.โดยมีโรงพยาบาลเอกชนตอบรับเข้าร่วมรับฟังคำชี้แจง 256 ราย
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ชี้แจงว่า จำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันว่า โรงพยาบาลต้องแยกราคาออกมาให้ชัดเจน ระหว่าง ยา , เวชภัณฑ์ ,และบริการทางการแพทย์ ไม่ใช่นำค่าบริการไปบวกไว้กับราคายา ซึ่งกระแสสังคมกดดันให้กระทรวงพาณิชย์เข้ามาดูแลความโปร่งใสของราคาและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ให้ผู้บริโภคได้รู้ราคายาที่แท้จริง และมีทางเลือก ซึ่งบางแห่งมีส่วนต่างของราคายาสูงจากค่าเฉลี่ยระหว่าง 8,000 - 16,000 เปอร์เซ็นต์ แนวทางดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก และที่ผ่านมามีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากกว่า 20 ประชุมร่วมกันมากกว่า 22 ครั้ง จึงได้ออกมาเป็นมาตรการให้โรงพยาบาลต้องเปิดเผยราคายา 3,992 ชนิดอย่างโปร่งใส โดยย้ำว่าไม่ใช่การคุมราคา เพียงเป็นการเผยแพร่ราคาเท่านั้น ซึ่งหลังจากแจ้งราคาซื้อและราคาจำหน่าย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2562 มาที่กรมการค้าภายในแล้ว ขอให้แจ้งมาก่อนวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 จากนั้นกรมจะจัดทำ QR Code ให้โรงพยาบาลนำไปเผยแพร่เฉพาะราคาจำหน่าย และการเปลี่ยนแปลงราคาจะต้องแจ้งให้กรมรับทราบก่อนปรับราคา 15 วัน เพื่อจะได้ทำการแก้ไขข้อมูลทั้งในเว็บไซต์และคิวอาร์โค้ด หากไม่แจ้งตามที่ประกาศกำหนด จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละ 2,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะแจ้ง
นอกจากนี้ โรงพยาบาลจะต้องประเมินอาการและค่ารักษาเบื้องต้นให้ผู้ป่วยรับทราบก่อน และรักษาตามความพอดีเท่าที่จำเป็น เพื่อจะได้ไม่ต้องป่วยซ้ำหลังจากเห็นบิลค่ารักษาภายหลังอย่างไรก็ตาม แม้จะเหนื่อยช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อเข้าที่เข้าทางแล้ว จัดการให้มีระบบที่โปร่งใสมากขึ้น และมีมาตรฐานชัดเจน จะทำให้ไทยพร้อมสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในภูมิภาค หรือ Medical Hub ได้ดีขึ้น
+ อ่านเพิ่มเติม