รองผู้ว่าฯ เรียกประชุมราคาแท็กซี่เกาะสมุย หลังโซเชียลแชร์ว่อนค่าโดยสารแพง
logo ข่าวอัพเดท

รองผู้ว่าฯ เรียกประชุมราคาแท็กซี่เกาะสมุย หลังโซเชียลแชร์ว่อนค่าโดยสารแพง

ข่าวอัพเดท : รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งชมรมผู้ประกอบการแท็กซี่ ร่วมประชุมหารือแก้ไขปัญหาราคาค่ารถแท็กซ โซเชียล,ค่าโดยสารแพง,ค่าโดยสารแท็กซี่,เกาะสมุย,ราคาแท็กซี่

2,679 ครั้ง
|
28 ธ.ค. 2561
รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งชมรมผู้ประกอบการแท็กซี่ ร่วมประชุมหารือแก้ไขปัญหาราคาค่ารถแท็กซี่ จากกรณี สื่อโซเชียลถ่ายภาพ ราคา ค่ารถแท็กซี่สาธารณะบนเกาะสมุย ที่มีราคาแพงมหาโหดคิดราคาเป็นเงินสกุลดอลล่า และเงินสกุลยูโร ล่าสุดจาการตรวจสอบพบว่าเป็นเรื่องจริง ด้านรองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เผยได้ข้อยุติแล้ว เป็นการเข้าใจผิด พร้อมสั่งล้อมคอกแล้ว หากพบใบราคาอยู่ในรถแท็กซี่คันใด สั่งเพิกถอนใบอนุญาตทันที 
 
เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 28 ธันวาคม 2561 ผู้สื่อข่าวรายงาว่า ที่ห้องประชุมชั้นสอง ที่ว่าการอำเภอเกาะสมุย นายสุทธิพงษ์ คล้ายอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานในการประชุ พร้อมเชิญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบไปด้วย ว่าที่ร้อยตรี กิตติภพ รอดดอน นายอำเภอเกาะสมุย นายวรกิตติ ไชยชนะ หัวหน้าสำนักงานขนส่งจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย นายสุนทร ภู่ไพบูลย์ รองนายกเทศมนตรีนครเกาะสมุย ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สาขาเกาะสมุย และ ตำรวจ จราจร สภ.เกาะสมุย และ สภ.บ่อผุด ทหาร ประธานชมผู้ประกอบการรถแท็กซี่เกาะสมุย และ ตัวแทนสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะสมุย 
 
ได้ร่วมกันประชุม เพื่อหาข้อสรุป และหาข้อยุติ จากเหตุการณ์ เกิดกระแสพิพากษ์วิจารณ์ ในสื่อโซเชียล “ จากกรณีที่เพจ เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามัน ได้โพสต์ป้ายราคาค่าโดยสารของรถแท็กซี่ในการเดินทางไปที่ต่างๆ บนเกาะสมุย โดยที่ไม่ใช่การเปิดมิเตอร์แต่เป็นการแสดงราคาลักษณะจ้างเหมา โดยลงข้อความว่า ” อันนี้ คือ เกาะสมุย ดังนั้นเรทราคาจะเหมือนบนฝั่งไม่ได้ เข้าใจมันมีค่านั่นโน่นนี่เยอะ มีค่าใช้จ่ายที่เราอาจไม่ทราบ เช่น ค่าคิว ค่าวิน ค่าธรรมเนียม ค่าค่าค่าค่า เข้าใจได้ (คิดว่าไม่ใช่รถแท๊กซี่สาธารณะ คิดว่านะ) แต่คิดราคาชำระ usd กะ euro เท่ากันเลยว่างั้น ? ราคาเขียนวันนี้ 32 กว่าๆ ยูโร 361 เหรียญต่างกัน ตีซะ 4 บาทถ้วน จ่าย 30 = ส่วนต่าง 120 บาท จ่าย 50 = ส่วนต่าง 200 บาท จ่าย 100 = ส่วนต่าง 400 บาท จ่าย 150 = ส่วนต่าง 600 บาท
 
สมมติเรียก พาชมรอบเกาะ เป็นเงินไทย 4,800 บาท ฝรั่งถือ USD เท่ากับ 4,800 บาท แต่ถ้าจ่ายยูโร เท่ากับ 5,400 บาท สรุป ชาวยุโรปจ่ายแพงกว่า ชาวอเมริกัน หรือผู้ถือเงินดอลล่าห์สหรัฐ จนส่งผลทำให้มีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นหลากหลาย เช่น “ฝรั่งไม่มาอีกแล้วกับราคานี้ มากกว่าจะไปกัมพูชาหรือเวียดนาม ประเทศไทยฆ่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของตัวเองด้วยความโลภ” “คนทำมาหากินแบบฉลาดๆเขาไม่ตั้งราคาแบบนี้หรอก ทุบหม้อข้าวตัวเองแล้วมาบ่นไม่มีนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวเขารีวิวปากต่อปากกัน ใครบริการดี ราคาถูก นักท่องเที่ยวก็แห่กันไปหาเอง สบายๆ” นั้น และเป็นค่าโดยสารที่แพงมหาโหด
 
ทั้งนี้ ในที่ประชุม นายสุทธิพงษ์ คล้ายอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าว่า ภายหลังจากที่ได้ประชุม และได้รับฟังข้อมูลจาก นายวรกิตติ ไชยชนะ หัวหน้าสำนักงานขนส่งจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย หลังจากเกิดเหตุการณ์ ได้นำกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบ พร้อมพบว่า ป้ายราคาดังกล่าว ได้พบในรถแท็กซี่มิเตอร์จริง พร้อมได้ทำการสอบปากคำ ไปแล้ว โดยป้ายราคาดังกล่าว เป็นป้ายราคา สำหรับรถที่ไปรับนักท่องเที่ยว ขึ้นมาจากเรือสำราญ เนื่องจากนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาจากเรือสำราญส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่ใช้เงินสกุลดอลล่า และเงินสกุลยูโร ส่วนค่าโดยสารรถแท็กซี่ทั่วไป เป็นอีกราคาหนึ่ง ที่มีราคาคิดตามมิเตอร์ แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังมีกลุ่มบุคคล ที่ขับรถแท็กซี่บางราย บางคน มักฉวยโอกาส เรียกเก็บราคา ที่แพงเกินจริงก็มี ซึ่งคนกลุ่มนี้ แอบแฝงมาทำลายการท่องเที่ยว
 
ภายหลังจาก การที่ใช้เวลา ในที่ประชุม กว่าสองชั่วโมง ก็ได้มีมติในที่ประชุม หลายเรื่อง เช่น รองผู้ว่าราชการ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้โชว์เฟอร์รถแท็งซี่ แต่งกายให้สุภาพ พูดจาให้เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว และขอเก็บราคาตามมิเตอร์ และขอให้รถแท็กซี่ ห้ามนำใบประคา ที่คิดเป็นเงินสกุลดอลล่า ราคาดังกล่าว มาใช้พร้อมห้ามเก็บไว้ในรถ หากมีการตรวจสอบพบ จะทำการยกเลิกเพิกถอนใบอนุญาตทันที 
 
พร้อมกันนี้ นายสุทธิพงษ์ คล้ายอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว ว่า จากเหตุการณ์ ที่เกิดเหตุขึ้น ได้ขอสรุป ว่า ต่อไปนี้ ห้ามรถแท็กซี่มิเตอร์ ราคาแท็กซี่มิเตอร์ ในเกาะสมุยต้องเป็นธรรม กับนักท่องเที่ยว และผู้โดยสาร และจะไม่มีเหตุการณ์ ดังกล่าวเกิดขึ้นอีก เพราะมันเป็นเรื่องส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ การท่องเที่ยว โดยตรง หากพบมีการฝ่าฝืนในรูปแบบดังกล่าวอีก จะมีการยกเลิกเพิกถอใบอนุญาตทันที

ข่าวที่เกี่ยวข้อง