ศาลฎีกาสั่ง ‘อาร์เอส’ ชดใช้ ‘แพนเค้ก’ 1 ล้าน นำคำพูดไปโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาต
logo ข่าวอัพเดท

ศาลฎีกาสั่ง ‘อาร์เอส’ ชดใช้ ‘แพนเค้ก’ 1 ล้าน นำคำพูดไปโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาต

ข่าวอัพเดท : ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่ น.ส.เขมนิจ จามิกรณ์ หรือแพนเ แพนเค้ก,อาร์เอส,ศาลสั่งอาร์เอสจ่ายแพนเค้ก,ใครๆก็ดูช่อง8

49,004 ครั้ง
|
20 พ.ย. 2561
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่ น.ส.เขมนิจ จามิกรณ์ หรือแพนเค้ก อายุ 30 ปี ดาราสาวชื่อดัง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัทอาร์.เอส.เทเลวิชั่น จำกัด เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท
 
โดยโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2558 โจทก์เป็นดารานางแบบ นักแสดง ทำงานถ่ายละคร งานโฆษณา ออกเผยแพร่ในสื่อวิทยุโทรทัศน์ ในสังกัดช่อง 7 สี ส่วนจำเลยเป็นบริษัทประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ โดยเมื่อต้นปี 2558 ได้มีการจัดงานอีเวนต์ ในสถานที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร โจทก์ได้รับเชิญจากเจ้าของงานอีเวนต์ ไปปรากฏตัวในงานเช่นเดียวกับดารานักแสดงอื่นๆ
 
ทั้งนี้ งานดังกล่าวมีช่างภาพ ผู้สื่อข่าว สื่อมวลชนแขนงต่างๆ สายบันเทิงไปร่วมรายงานข่าวและบันทึกภาพจำนวนมาก โดยปกติในทางปฏิบัติ ก็จะมีผู้สื่อข่าวมาสัมภาษณ์และนำภาพข่าวนั้นไปเสนอในสถานีคลื่นความถี่ของแต่ละคน ไม่เกินครั้งสองครั้ง
 
แต่จำเลยได้ให้ผู้สื่อข่าวมาสัมภาษณ์โจทก์ และให้พูดว่า “ใครๆ ก็ดูช่อง 8” เพื่อนำไปออกข่าวบันเทิง โจทก์ก็ให้สัมภาษณ์ โดยมีภาพโจทก์พูดข้อความดังกล่าว จากนั้นประมาณเดือน ก.พ.-มี.ค. 2558 ได้มีการนำภาพและข้อความว่า “ใครๆ ก็ดูช่อง 8” ไปออกอากาศและผ่านทางช่องทางยูทูบ หลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่โจทก์เป็นดารานักแสดงในสังกัดช่อง 7 สี ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงฟ้องเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทน จำนวน 5 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
 
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับแต่วันฟ้อง และให้ชำระค่าธรรมเนียมแทนโจทก์
 
จำเลยยื่นอุทธรณ์ขอให้พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับแต่วันฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาจำเลยยื่นฎีกาขอให้พิพากษายกฟ้อง
 
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่าที่จำเลยฎีกาอ้างว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยนำภาพและเสียงพูดของโจทก์ไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้ แต่พยานจำเลยที่เป็นผู้สื่อข่าวและเข้าสัมภาษณ์โจทก์ไม่ได้เบิกความยืนยันถึงเรื่องนี้
 
ซึ่งเบิกความเพียงว่า โจทก์ยินยอมให้บันทึกภาพและเสียงพูดของโจทก์เท่านั้น การที่จำเลยนำข้อความดังกล่าวไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ ถือว่าทำให้โจทก์ผิดสัญญากับสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ที่ไปโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าทางโทรทัศน์ให้ผู้อื่น
 
อีกทางขณะสัมภาษณ์ก็ไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนว่าจะนำภาพและเสียงพูดของโจทก์ไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ จากเหตุดังกล่าวที่โจทก์เบิกความว่า ไม่ได้ยินยอมให้นำภาพและเสียงพูดของไปโฆษณาประชาสัมพันธ์จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ โดยน่าเชื่อตามที่เบิกความว่า ยินยอมเพียงให้นำภาพและเสียงพูดของไปออกรายการข่าวบันเทิงรายวันเท่านั้น
 
อีกทั้งการที่จำเลยฎีกาว่า การย้ายสังกัดของนักแสดงเป็นเรื่องปกติ ไม่ถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง และโจทก์ไม่มีหลักฐานการนำสืบให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจำเลยจะได้ประโยชน์จากคำพูดของโจทก์มากน้อยเพียงใด ในทำนองว่าโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง จำเลยจะฎีกาเช่นนี้ไม่ได้
 
ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นและแม้ศิลปินและดารานักร้องคนอื่นก็พูดเช่นเดียวกับโจทก์อย่างที่จำเลยฎีกาก็เป็นคนละเรื่องกัน ไม่ได้เป็นเครื่องชี้แสดงว่าโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง
 
อีกทั้งเมื่อผู้จัดการส่วนตัวเบิกความว่า ในการรับงานโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าทางโทรทัศน์ โจทก์จะคิดค่าจ้างรายละ 1,000,000 บาท ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายต่อชื่อเสียงให้โจทก์เป็นเงิน 1,000,000 บาท เห็นว่าเป็นจำนวนที่พอสมควรแล้ว พิพากษายืน
 
ขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวสด
ภาพจากอินสตราแกรม khemanito