"สมคิด" ลั่น ไทยขอท้าชนสิงคโปร์ แข่งเป็น "ฮับสตาร์ทอัพ"
logo ข่าวอัพเดท

"สมคิด" ลั่น ไทยขอท้าชนสิงคโปร์ แข่งเป็น "ฮับสตาร์ทอัพ"

ข่าวอัพเดท : “สมคิด” ลั่น ไทยขอท้าชนสิงคโปร์ แข่งเป็นฮับสตาร์ทอัพ มั่นใจศักยภาพผู้ประกอบการ เชื่อเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งแม้มีปัญหาโครงสร้างไม่สมดุล สมคิด แถลง,ปาฐกถา สมคิด,สมคิด สตาร์ทอัพ,สตาร์ทอัพ

4,987 ครั้ง
|
18 พ.ค. 2561
“สมคิด” ลั่น ไทยขอท้าชนสิงคโปร์ แข่งเป็นฮับสตาร์ทอัพ มั่นใจศักยภาพผู้ประกอบการ เชื่อเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งแม้มีปัญหาโครงสร้างไม่สมดุล
 
ในงาน “SME Transform พร้อมเปลี่ยน ประชารัฐร่วมใจ เชื่อม SME ไทยสู่สากล” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ “ประชารัฐร่วมใจ เชื่อม SME ไทยสู่สากล” ว่า ปัจจุบันไทยมีเอสเอ็มอีจำนวนกว่า 3 ล้านราย คิดเป็น 99.7% ของจำนวนวิสาหกิจทั่วประเทศ ก่อให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 10 ล้านคน นับเป็นห่วงโซ่การผลิตและเป็นรากฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่แท้จริง ซึ่งยืนยันรัฐบาลพร้อมผลักดันเอสเอ็มอีให้เติบโตมากขึ้นกว่านี้ให้ได้ เพื่อจะทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้นจากผู้ประกอบการขนาดเล็ก 
 
สำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมในปัจจุบันถือว่าแข็งแกร่งและขยายตัวได้ดี แต่ต้องยอมรับปัญหาเศรษฐกิจของไทยทุกวันนี้คือโครงสร้างที่ไม่สมดุล จึงต้องมีการปฎิรูปให้เกิดยั่งยืน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การแก้ไขกฎหมาย แต่เป็นการแก้ไขการทำงานของภาครัฐ ให้รองรับการทำงานของภาคเอกชนได้มากขึ้น ด้วยการจัดทำนโยบาย 4.0 ที่ใช้เทคโนโลยี และดิจิทัลเข้ามามีส่วนร่วม โดยให้กระทรวงต่างๆ ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานส่งเสริมการลงทุน ร่วมกับสมาคมเอกชนต่างๆ เพื่อปรับตัว และปรับปรุงข้อกฎหมายที่ล้าหลัง ให้เอื้อต่อการเติบโตของเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพไทยแข็งแกร่งมากขึ้น
 
ทั้งนี้รัฐบาลตั้งเป้ายกระดับเอสเอ็มอีไทย สู่ Smart Enterprise เปลี่ยนจาก ทำมากได้น้อย เป็น ทำน้อยได้มาก โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายส่งเสริมมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของเอสเอ็มอีต่อมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศหรือ GDP เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 36% เป็นไม่น้อยกว่า 50% ภายในปี 2564 โดยจะเน้นให้เข้าถึงเงินทุนจากสถาบันการเงินมากขึ้น ซึ่งสถาบันการเงินจะต้องปรับปรุงระบบ Bg Data กับหน่วยงานรัฐและเอกชนทั้งหมด เพื่อให้สามารถวิเคราะห์การให้เงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เอสเอ็มอีจะมีอุปสรรคในการเติบโตลดลงได้ 
 
นอกจากนี้รองนายกรัฐมนตรียังประกาศว่า ต้องการผลักดันให้ไทยเป็นฮับสตาร์ทอัพแข่งกับประเทศสิงคโปร์ เพราะขณะนี้ค่อนข้างมั่นใจในศักยภาพของผู้ประกอบการไทย โดยมองว่าอีก 4-5 ปีข้างหน้าจะเป็นโอกาสของธุรกิจไทย แต่การขับเคลื่อนและพัฒนาจะต้องใช้ความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนอะไรที่กีดขวางหรือเป็นอุปสรรคขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไข เช่น กฏหมายที่เกี่ยวข้อง การจดทะเบียน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยขอให้มีความคืบหน้าในช่วงเวลาก่อนเลือกตั้ง