จ่อเสนอนายกฯ ออกคำสั่งบริหารข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล เก็บข้อมูลลดปัญหาอาชญากรรม-แรงงาน-ชายแดนใต้ใน 2 ปี
logo ข่าวอัพเดท

จ่อเสนอนายกฯ ออกคำสั่งบริหารข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล เก็บข้อมูลลดปัญหาอาชญากรรม-แรงงาน-ชายแดนใต้ใน 2 ปี

ข่าวอัพเดท : พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการฐานข้อมูลด้านความมั่นคง ท ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล,แรงงาน,ความมั่นคง,อาชญากรรม

1,202 ครั้ง
|
02 พ.ค. 2561
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการฐานข้อมูลด้านความมั่นคง ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการ 3 คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการจัดทำฐานข้อมูลด้านความมั่นคงในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการจัดทำฐานข้อมูลด้านความมั่นคง และคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาแนวทางการจัดตั้งฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติ
 
พร้อมเห็นชอบร่างคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการบริหารข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติ ตามที่คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาแนวทางจัดตั้งฐานข้อมูลอัตตลักษณ์บุคคลแห่งชาติเสนอ รวมทั้งแนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เป็นหน่วยงานกลาง พร้อมมอบให้สมช. นำร่างคำสั่งดังกล่าวเสนอ ครม.รับทราบและให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิจารณาลงนาม เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
 
ทั้งนี้สืบเนื่องจากนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้รวมศูนย์การทำงานด้านข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล เช่น การจัดเก็บลายนิ้วมือ DNA ใบหน้า ม่านตา เพื่อใช้ในการติดตามตัว และแก้ปัญหาคดีอาชญากรรมและแรงงาน โดยเป็นข้อมูลกลางที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถนำไปใช้ เพื่อให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
 
ด้านพลโทคงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พลเอกประวิตรได้สั่งการในที่ประชุมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ส่งให้กับหน่วยงานกลางของ สมช. ได้จัดเก็บ โดยคาดจะดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 2 ปี อีกทั้งยังกำชับให้หน่วยงานกลางในการจัดเก็บข้อมูลและจังหวัดชายแดนภาคใต้สนับสนุนข้อมูลให้กับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้านำไปใช้ นอกจากนี้หากต้องการข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ก็ให้รีบดำเนินการจัดทำบันทึกข้อตกลงในการใช้ฐานข้อมูลร่วมกัน ซึ่งการจัดทำฐานข้อมูลทั้งหมดก็เพื่อช่วยลดความซ้ำซ้อนในเรื่องของการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล เนื่องจากจะดำเนินการตรวจสอบเพียงครั้งเดียว และการดำเนินธุรกรรมต่างๆ หลังจากนี้จะเกิดความสะดวกรวดเร็วกับประชาชนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหางานด้านความมั่นคงที่จะครอบคลุม ทั้งการปลอมแปลงบัตร การทำธุรกรรมต่างๆ ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและตามแนวชายแดน