เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. วันนี้ (17 มกราคม 2561) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการเปิดแถลงข่าวกรณี น.ส.ณิชา ถูกนำบัตรประชาชนไปใช้เปิดบัญชีเพื่อฉ้อโกง
โดยพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า แก๊งโรแมนซ์สแกมมีพฤติการณ์คล้ายกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่จะหลอกลวงประชาชน ส่วนกรณีของณิชาเหตุเกิดครั้งแรกที่ สภ.บ้านตาก ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์
อีกด้านหนึ่ง สำหรับคดีที่น.ส.ณิชามีการแจ้งความว่าบัตรประชาชนหายที่ สน.ห้วยขวางนั้น ก็ถือว่าน.ส.ณิชาเป็นผู้เสียหาย พร้อมทั้งขอร้องไม่ให้มีการสื่อสารในลักษณะชี้นำจนสังคมอาจสับสน
ด้านพล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวระบุว่า ผู้ที่นำบัตรประชาชนของน.ส.ณิชาไปเปิดบัญชีถึง 10 บัญชีประกอบด้วย น.ส.ปวีณา, น.ส.เจรติ และ น.ส.พรหมพร ซึ่งชัดเจนแล้วว่าเป็นผู้กระทำความผิดจริง และน.ส.ณิชาตกเป็นเหยื่อในกรณีนี้ ส่วนเรื่องบัตรประชาชนของน.ส.ณิชาที่มีการทำใหม่หลายครั้งพบว่า น.ส.ณิชาทำบัตรประชาชนเพียงสองครั้ง ไม่ได้ทำถึงสี่ครั้งอย่างที่มีข่าว โดยการทำบัตรครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ น.ส.ณิชามีอายุ 15 ปีและใช้จนหมดอายุ ส่วนบัตรใบที่สองเป็นบัตรที่ทำหายที่ร้านสะดวกซื้อและมีการแจ้งหายไว้ เป็นจังหวะเดียวกับที่นายไซม่อนได้ให้น.ส.ปวีณาหาบัตรประชาชนมาใช้เปิดบัญชีแอบอ้าง ซึ่งก็ได้บัตรของน.ส.ณิชาจากร้านสะดวกซื้อที่พนักงานร้านไม่ได้ตรวจสอบให้ดีจนนำไปเปิดบัญชีได้สำเร็จ ทางตำรวจได้สอบสวนพนักงานร้านสะดวกซื้อไว้แล้ว ส่วนประเด็นอื่นๆ ผบ.ตร.ได้สั่งขยายผลและยังไม่พบการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องในคดี
เมื่อถามว่าตำรวจสิ้นสงสัยในตัว น.ส.ณิชาแล้วหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์เป็นผู้ตอบว่าเรื่องราวกระจ่างขึ้น ยังไม่พบพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงมายัง น.ส.ณิชาและครอบครัว และจริงๆ แล้วเรื่องที่สภ.บ้านตากก็เป็นเรื่องการซื้อขายที่ดินที่ขบวนการโรแมนซ์สแกมนำบัตรของน.ส.ณิชาไปเปิดบัญชี และหลอกลวงให้มีการโอนเงินเข้าบัญชีของ น.ส.ณิชากับพวกสามแสนบาท ซึ่งคดีที่ สภ.บ้านตากนี้ก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอน การสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องก็อยู่ที่พยานหลักฐาน
ส่วนเรื่องเงินในบัญชีของ น.ส.ณิชาที่มีข่าวว่ามีถึง 6 ล้านบาท พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ระบุว่าจริงๆ แล้วเป็นเงินหมุนเวียน ไม่ใช่เงินก้อน และมีการหมุนเวียนมาตั้งแต่ปี 2554 โดยเฉลี่ยแล้วมีการหมุนเวียนเดือนละราว 3 แสนบาท เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำความผิดและไม่ได้เชื่อมโยงกับแก๊งโรแมนซ์สแกมหรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อย่างไรก็ตาม ผบ.ตร.ก็ได้สั่งให้ขยายผลในเรื่องนี้เพิ่มเติม หากพบการกระทำความผิดทางอาญาก็สามารถดำเนินคดีได้
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า น.ส.ปวีณา หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาเปิดบัญชีแอบอ้างในชื่อ น.ส.ณิชา ได้เปิดบัญชีและมีการโอนเงินเข้าบัญชี น.ส.ณิชาตัวจริงนั้น พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ระบุว่า น.ส.ปวีณาได้เปิดบัญชีจำนวน 5 บัญชี และคาดว่าจะได้ค่าจ้างบัญชีจากนายไซม่อน บัญชีละ 2,000 บาท แต่เนื่องจากนายไซม่อนไม่ได้ให้เงินจริงตามสัญญา น.ส.ปวีณาจึงหักเงินออกจากเงินของนายไซม่อนเอง และด้วยความกลัวว่านายไซม่อนจะทราบ จึงรีบโอนเงินที่หักไว้เข้าอีกบัญชีหนึ่ง แต่พลาดไปเข้าบัญชีน.ส.ณิชาตัวจริง
และเนื่องจาก น.ส.ปวีณาได้ไปสมัครใช้บริการ Mobile Application ในชื่อ น.ส.ณิชาไว้ด้วย ทำให้เกิดการปนกันระหว่างบัญชีแอบอ้างและบัญชีจริง และเมื่อน.ส.ปวีณารู้ตัวว่าโอนผิดเข้าบัญชีน.ส.ณิชาตัวจริง จึงขอรหัสผ่านจากธนาคารเพื่อโอนเงินออกโดยบริการโอนเงินไม่ใช้บัตร และใช้การโอนแบบไม่ใช้บัตรโอนเงินทั้งหมดออกจากบัญชี น.ส.ณิชาทันที สรุปว่าเป็นการโกงกันเองระหว่าง น.ส.ปวีณาและนายไซม่อน ซึ่ง น.ส.ณิชาไม่ทราบเรื่องการโอนเข้าออกนี้เพราะไม่ได้สมัครบริการ SMS แจ้งเตือนเงินเข้าออกบัญชีไว้ ถือว่าไม่ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้จึงไม่ถูกดำเนินคดี
ทั้งนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ก็ระบุเพิ่มเติมว่าอาจเป็นความบกพร่องของระบบ หรือของธนาคาร ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำตามขั้นตอนทางกฎหมายมาโดยตลอดทั้งในพื้นที่ สภ.บ้านตาก และในพื้นที่นครบาล ส่วนธนาคารจะต้องรับผิดชอบหรือไม่เป็นเรื่องที่ น.ส.ณิชาต้องไปคุยกับธนาคาร ส่วนขั้นตอนต่อไปก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย น.ส.ณิชายังเป็นผู้ต้องหาที่ สภ.บ้านตาก และเป็นผู้เสียหายในกรณีถูกนำบัตรไปสวมรอย ผู้ถูกกล่าวหาที่ยังหลบหนีอยู่ก็ต้องตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน น.ส.ณิชาได้ไปทำธุรกรรมการเงินเพื่อจะขอเปิดใช้ Internet Banking และมีการขอรหัสความปลอดภัยเนื่องจาก น.ส.ณิชาโอนเงินไม่ได้ และต่อมาวันที่ 10 พฤศจิกายน น.ส.ณิชาก็ได้มีการโอนเงินจากบัญชีที่ถูกแอบอ้างไปให้กับเพื่อนนั้น ตำรวจได้สืบสวนขยายผลแล้ว น.ส.ณิชาระบุว่าไม่ทราบว่าเป็นบัญชีแอบอ้าง เพราะเมื่อเปิดแอปฯ เพื่อจะโอนเงินขึ้นมาก็ปรากฎหน้าบัญชีแอบอ้างขึ้นมาก่อนเพราะมีเลขที่บัญชีเรียงขึ้นก่อนตามลำดับ แต่ไม่ได้สังเกตว่ามีอีกหน้าหนึ่งซึ่งเป็นของบัญชีจริงของตน จึงกดโอนเงินไปให้เพื่อน
และกรณีที่มีข่าวว่า 1 ใน 4 เบอร์โทรศัพท์ที่กลุ่มคนร้ายใช้ผูกไว้กับบัญชีแอบอ้างของน.ส.ณิชา กลายเป็นเบอร์ของน้องชาย น.ส.ณิชาเองนั้น ทางตำรวจระบุว่าเป็นความเข้าใจผิดของ น.ส.ณิชา ซึ่งไม่ได้สื่อสารกับน้องชาย เพราะเบอร์มือถือดังกล่าวเป็นเบอร์ที่ น.ส.ณิชาเคยใช้สมัยมัธยม แล้วก็เลิกใช้ไป น้องชายซึ่งยังเด็กมากจึงนำซิมดังกล่าวมาเติมเงินแล้วนำมาใช้ต่อ ซึ่งประเด็นนี้มีพยานหลักฐานชัดเจน และน.ส.ณิชาเข้าใจแล้วว่าให้ข้อมูลผิด
นอกจากนี้ ทีมสอบสวนยังเผยว่าเมื่อ น.ส.ณิชารับทราบว่ามีการเปิดบัญชีแอบอ้าง จึงได้โทรศัพท์ไปขออายัดและปิดบัญชี เมื่อคนร้ายทราบว่าถูกอายัดบัญชีก็มีความเดือดร้อน จึงได้โทรศัพท์ไปหาณิชาโดยแสร้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร เพื่อถามว่าเป็นผู้อายัดและปิดบัญชีจริงหรือไม่ด้วย
และหลังการแถลงข่าว น.ส.ณิชา เกียรติไพบูลย์ พร้อมพี่สาวได้นำดอกไม้มามอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยระบุว่าขอโทษกับการให้ข้อมูลที่ผิดพลาดบางส่วนของน.ส.ณิชา และขอบคุณตำรวจที่ดำเนินคดีด้วยความรวดเร็ว พร้อมให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวระบุว่าดีใจที่คดีคลี่คลาย ตนเชื่อว่าความจริงจะต้องปรากฎและได้รับความเป็นธรรม ถือเป็นบทเรียนสำคัญและเป็นบทเรียนใหญ่มากสำหรับชีวิต ขอให้เป็นกรณีตัวอย่างกับสังคมว่าถ้าเกิดเหตุแล้วควรปฏิบัติตนอย่างไร ซึ่งตนอยากให้ผู้ที่เคยทำบัตรประชาชนหายไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่เพื่อป้องกันได้อย่างทันท่วงที แต่ก็ได้รับกำลังใจจากครอบครัวที่เข้าใจตนมาตลอด นอกจากนี้ยังระบุว่าตั้งแต่เกิดเรื่องชีวิตของตนก็เปลี่ยนไป ซึ่งตนต้องการชีวิตปกติของตนกลับคืนมา ขอขอบคุณทุกความช่วยเหลือด้วย