คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีครูจอมทรัพย์ยังไม่ฟันธงใครถูกผิด ระบุขอส่งผลสอบให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมพิจารณาก่อน
นายวัลลภ นาคบัว ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการรับรื้อฟื้นคดีอาญาฯ แถลงสรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการยื่นคำร้องขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ จากนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร หรือ ครูจอมทรัพย์ อดีตข้าราชการครูในจังหวัดสกลนคร ซึ่งตามกระแสข่าวว่า กระทรวงยุติธรรมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรื้อฟืนคดีอาญาขึ้นอีกครั้ง ทำให้ศาลฏีกายกคำร้อง หลังพบมีขบวนการว่าจ้างให้รับผิดแทน
โดยคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ออกมาระบุถึงกรอบขั้นตอนการทำงาน ซึ่งได้ส่งหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สำนักงานกองทุนยุติธรรม ศูนย์บริการร่วม และสำนักงานยุติธรรมจังหวัดนครพนม ให้ชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริง และจัดส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการกรณีดังกล่าว พร้อมทั้งมีหนังสือถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้คณะทำงานศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ที่รับผิดชอบคดีครูจอมทรัพย์ รายงานข้อเท็จจริงกลับมาด้วย พร้อมบันทึกถ้อยคำแต่ละบุคคล รวมถึงตรวจสอบทุกขั้นตอนการขอรับความช่วยเหลือ จนถึงศาลรับคำร้องในคดีครูจอมทรัพย์
ส่วนประเด็นที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ รู้เห็นเป็นใจในกรณีของเครื่องจับเท็จ แต่ยังคงดำเนินการต่อไปนั้น นายวัลลภ ระบุว่า ในส่วนนี้เป็นของคณะทำงานชุดที่ 2 ซึ่งเรื่องนี้ตนเองยังไม่มีความเห็น แต่ขอชี้แจงว่าทางกระทรวงยุติธรรมได้ร้องขอเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเพียงแค่เรื่องจับเท็จเท่านั้น แต่ที่ดีเอสไอเกี่ยวข้องเพียงเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่มาปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือศูนย์ลูกหนี้เท่านั้น
ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่า กระทรวงยุติธรรมได้ส่งข้อมูลเท็จต่อศาล ถือเป็นการก้าวล่วงนั้น ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ชุดทำงานไม่ได้ส่งข้อมูลให้ศาล แต่ข้อมูลดังกล่าวทนายความของผู้ร้องเป็นผู้ดำเนินการยื่นต่อศาล ส่วนผลสรุปว่าถูกหรือผิดนั้น ยังไม่สามารถตอบได้ ซึ่งขณะนี้ได้รวบรวมพยานหลักฐานและเอกสารทั้งหมด รวมถึงผลการสอบสวนส่งให้แก่นายวิศิษฎ์ วิศิษฎ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้พิจารณาผลการสอบสวนของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการยื่นคำร้องขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่นางจอมทรัพย์ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม นายวัลลภ ยังยอมรับว่าคดีนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่กระทรวงยุติธรรม จะต้องมาทบทวน ปรับระบบในการทำงาน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ ตามมาตรา 5 สามารถทำได้หากเข้าเงื่อนไขที่ศาลตัดสินว่าพยานในคดีเบิกความเท็จ หรือศาลตัดสินว่าพยานเอกสารหรือวัตถุปลอมหรือเป็นเท็จ และเมื่อมีพยานหลักฐานใหม่ก็สามารถทำการขอรื้อดคีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ได้ ซึ่งผู้ที่มีสิทธิและมีอำนาจในการยื่นคำร้องคือผู้ต้องรับโทษทางอาญาหรือผู้แทนโดยชอบธรรม เช่นกรณีเป็นผู้เยาว์หรือคนไร้ความสามารถ หรือผู้แทนอื่นของนิติบุคคลในกรณีที่นิติบุคคลต้องรับโทษ หรือบุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภรรยาของผู้ที่รับโทษอาญาที่ถึงแก่ความตายก่อนที่จะมีการยื่นคำร้อง และพนักงานอัยการ ในกรณีที่พนักงานอัยการไม่ได้เป็นโจทก์ในคดีเดิม
+ อ่านเพิ่มเติม