'หมอพรทิพย์' สนใจสาเหตุการตาย 'น้องเมย' ชี้ไทยไร้ข้อกำหนดแจ้งญาตินำอวัยวะตรวจ-หมอควรแจงสังคม
logo ข่าวอัพเดท

'หมอพรทิพย์' สนใจสาเหตุการตาย 'น้องเมย' ชี้ไทยไร้ข้อกำหนดแจ้งญาตินำอวัยวะตรวจ-หมอควรแจงสังคม

ข่าวอัพเดท : วันนี้ (23 พฤศจิกายน) พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธ น้องเมย,หมอพรทิพย์,พรทิพย์ โรจนสุนันท์,นักเรียนเตรียมทหาร

170,568 ครั้ง
|
23 พ.ย. 2560
วันนี้ (23 พฤศจิกายน) พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม กล่าวถึงหลักการชันสูตรศพ กรณีการเสียชีวิตที่โรงเรียนเตรียมทหารของนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ ตัญกาญจน์ (น้อยเมย) นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม
 
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ระบุว่า หากมีการเสียชีวิตเกิดขึ้น หลักการชันสูตรศพนั้นมีแนวทางการดำเนินการที่ไม่ค่อยเหมือนกัน ถ้าเป็นพยาธิแพทย์ที่เป็นการตรวจวินิจฉัยโรค จะผ่าและตัดบางส่วนไปตรวจ 
 
"การผ่าทางพยาธิกายวิภาค เขาจะผ่า แล้วก็ตัดบางส่วนไปตรวจทำสไลด์ ส่วนที่เหลือจะต้องเก็บ แช่ในฟอร์มาลีนเอาไว้จนกว่าจะตรวจพิสูจน์เรียบร้อย เพราะในบางครั้งไปตรวจแล้วยังสรุปไม่ได้ก็จะกลับไปตรวจใหม่ ยกตัวอย่างเช่นเดิมหมอเป็นพยาธิแพทย์ ก็จะวินิจฉัยว่าต้องไปตัดเพิ่มจนหาสาเหตุได้เจอ แต่ส่วนใหญ่จะต้องแจ้งญาติ คืออวัยวะจะต้องไม่ทิ้ง จะต้องแช่ในฟอร์มาลีน" พญ.คุณหญิงพรทิพย์กล่าว
 
ส่วนการผ่าทางนิติเวช พญ.คุณหญิงพรทิพย์ระบุว่า เบื้องต้นจะเหมือนกันกับทางพยาธิแพทย์ คือตรวจอวัยวะเหมือนกั ลน แต่อวัยวะทั้งหมดจะต้องถูกเก็บห่อคืนกลับเข้าไป เผื่อว่าจะมีการตรวจซ้ำ แต่ในเรื่องการนำอวัยวะออกมาแล้วต้องแจ้งญาติ ในประเทศไทยเองยังไม่มีเกณฑ์กำหนดในการดำเนินการดังกล่าว ตรงนี้จึงควรเป็นหนึ่งในข้อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้มีการนำเสนอแล้ว ทั้งเรื่องการรวบรวมพยานหลักฐานการตรวจพยานหลักฐาน จะต้องมีรูปถ่ายซึ่งจะเป็นการตอบโจทย์ที่เป็นจุดสนใจมากที่สุด ทำให้สามารถหาสาเหตุการตายโดยสมบูรณ์และจะสามารถบอกได้ในระดับหนึ่ง
 
พญ.คุณหญิงพรทิพย์กล่าวต่อไปว่า เรื่องการชันสูตรพลิกศพ ส่วนที่สำคัญที่สุดคือการตรวจศพโดยสมบูรณ์ ซึ่งต้องตรวจทั้งตัว ทั้งสมอง ทั้งตับ ทั้งไต ที่สมองตรวจเพราะอาจจะเจอสิ่งที่เป็นสาเหตุจากอวัยวะอื่น 
 
"คือโดยหลักการแล้วพยาธิแพทย์ หรือพยาธินิติเวชจะต้องตรวจทั้งตัว เพื่อตอบโจทย์เขาได้ว่าตกลงเกิดจากอะไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าทำไมไปเอาสมองเขาออก เพียงแต่ว่าตอนที่เอาอวัยวะไปดำเนินการ บางหน่วยงานก็อาจจะอธิบาย บางหน่วยงานก็อาจจะไม่อธิบาย คือสำหรับหมอตอนทำงานอยู่รามาธิบดีจะอธิบายตลอด และถ้าเป็นนิติเวชเราก็จะคืน เพราะว่าโดยระบบมันต้องคืนไปเผื่อว่าจะมีการตรวจซ้ำ" พญ.คุณหญิงพรทิพย์กล่าว
 
เมื่อถามว่า มองกรณีน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารที่เสียชีวิตอย่างไร พญ.คุณหญิงพรทิพย์กล่าวว่า จากชื่อหน่วยงานที่ทำการตรวจศพ ฟังได้ว่าเป็นพยาธิแพทย์ เพราะฉะนั้นตามหลักการ ก็จะมีการนำอวัยวะส่วนที่เหลือไปแช่ในฟอร์มาลินไว้จนกว่าจะมีการตรวจพิสูจน์ แต่ตนยังไม่ได้เห็นกรณีนี้ด้วยตนเอง เพราะเป็นความรับผิดชอบของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไปแล้ว ถ้าเขาไม่ได้ปรึกษามาก็ไม่ได้เข้าไปดู แต่พยายามที่จะทำความเข้าใจกันก่อนว่าสำหรับเรื่องการนำอวัยวะไป ถ้าเป็นการตรวจพยาธิแพทย์เขามักจะเก็บอวัยวะไว้
 
"พยายามให้ความเข้าใจก่อนว่า อวัยวะเนี่ย ถ้าเป็นการตรวจทางพยาธิเขาจะเก็บไปตรวจจนกว่าจะตอบโจทย์ได้ ซึ่งถ้ากรณีนี้เป็นการรถทับเขาคงไม่เก็บอวัยวะไปตรวจแล้วล่ะ คือก็รู้อยู่แล้วว่าตับแตกม้ามแตกอะไรประมาณนี้ แต่ถ้ามันตอบไม่ได้ด้วยตาเปล่า ส่วนใหญ่พยาธิแพทย์จะขอเอาอวัยวะแช่ฟอร์มาลีนเอาไว้ แล้วเอาส่วนหนึ่งไปตรวจแล็บ ถ้าส่วนหนึ่งตอบได้ ได้คำตอบก็ทิ้งตรงนี้ได้ แต่ถ้าไม่ได้คำตอบก็ต้องมาผ่าใหม่" พญ.คุณหญิงพรทิพย์ระบุ
 
เมื่อถามว่า การตรวจแบบพยาธิแพทย์แบบนี้มักจะมีการบอกญาติด้วยหรือไม่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ต้องบอกว่าประเทศไทยยังไม่เคยมีข้อกำหนดกลางในเรื่องนี้ ตนก็พยายามที่จะผลักดันให้มีข้อกำหนดกลาง เช่น ศพควรบันทึกถ่ายรูป แต่หลักสากลนั้นมีข้อกำหนดไว้ ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ก่อนการผ่าแบบพยาธิแพทย์จะต้องมีการติดต่อแจ้งญาติและลงลายลักษณ์อักษรหรือไม่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ตอนแรกจะต้องมีการเซ็นยินยอมในการผ่าศพซึ่งจะอธิบายญาติ ซึ่งส่วนมากเขาก็จะบอกความจำนงไม่เอาอวัยวะกลับไปเพราะจะทำให้ศพเน่าเร็ว แต่ถ้าเป็นแบบนิติเวช แม้จะมีการตรวจแบบพยาธิ ก็จะดำเนินการเอาอวัยวะคืนกลับมาทั้งหมด แต่ทั้งนี้แล้วแต่หน่วยเพราะประเทศไทยยังไม่มีข้อตกลง
 
ถามต่อว่าการผ่าแบบใดก็ตามจะมีเรื่องข้อกฎหมายเรื่องการนำอวัยวะออกนอกศพโดยไม่แจ้งญาติเข้ามาควบคุม และมองเห็นความผิดปกติในกรณีนี้หรือไม่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า เป็นแนวปฏิบัติ แต่ต้องคำนึงถึงสิทธิที่ต้องคุยกับญาติว่าญาติจะเอาหรือไม่ แต่ตนจะตอบได้ในเฉพาะโรงพยาบาลที่เคยทำงานมา ทุกครั้งเราก็ถามญาติว่าจะเอาอวัยวะกลับไปหรือไม่ ส่วนใหญ่ญาติก็จะไม่เอา ซึ่งการตรวจพยาธิแพทย์จะดองอวัยวะเอาไว้จนกว่าจะหาสาเหตุได้ ส่วนกรณีนี้ตนยังไม่เห็นความผิดปกติที่ชัดเจน
 
“ตัวหมอไม่ได้ลงไปในเนื้อคดี แต่แพทย์ผู้ผ่าจะทราบ ยังไม่เห็นความผิดปกติชัด แต่ประเด็นนี้ที่สังคมสงสัยควรจะถูกอธิบายโดยแพทย์ที่ดำเนินการ แต่เขาอาจจะติดเรื่องยศหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่หมออยากให้สนใจเรื่องสาเหตุการตายมากกว่า สำหรับตัวหมอ หมอไม่ได้สนใจว่าอวัยวะหายไปไหน คือเชื่อได้ว่าเขาไม่ได้เอาไปทำลาย เพียงแต่ว่าน่าจะสนใจว่าเป็นอะไรเสียชีวิต และมันจะเป็นภาพสะท้อนของระบบใหญ่” พญ.คุณหญิงพรทิพย์กล่าว
 
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า อวัยวะที่หายไปจะช่วยไขสาเหตุการเสียชีวิตได้หรือไม่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ตอบว่า ขึ้นอยู่กับว่าเราคิดว่าสาเหตุการเสียชีวิตคืออะไร 
 
"เช่น สาเหตุการเสียชีวิตคือเรื่องพยาธิสภาพในสมอง แล้วสมองหายไป แล้วเอาสมองมาให้ตรวจ ก็จะตอบได้ แต่ถ้าสมมติว่าพยาธิสภาพไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นก็อาจจะตอบไม่ได้ คือการผ่าศพเป็นศาสตร์เฉพาะของมัน ซึ่งบางครั้งเรานึกว่ามีอาการที่นี่ แต่จริงๆแล้วมันมาจากที่อื่น" พญ.คุณหญิงพรทิพย์กล่าว
 
ถามอีกว่า ทำไมเมื่อผลตรวจทางพยาธิแพทย์ยังไม่ออกมา แต่กลับมีการแจ้งสาเหตุการตายให้กับญาติพี่น้องไปก่อนหน้านี้ ถือว่าผิดปกติหรือไม่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์กล่าวว่า ข้อเท็จจริงเพียงปรากฏจากสื่อ โดยหลักแล้วการแจ้งเหตุการตายแล้วแปลว่า แพทย์ที่ทำการผ่าน่าจะสรุปได้แล้ว แต่กรณีนี้เราไม่รู้ว่าแพทย์สรุปแล้วหรือยัง ตนไม่รู้จริงๆ เราไม่รู้ความจริงคืออะไร กรณีของน้องเมย ถือเป็นการตายผิดธรรมชาติแน่นอน เพราะเป็นการตายโดยกะทันหันไม่ปรากฏเหตุ
 
เมื่อถามว่ากรณีน้องเมยจะต้องเป็นการผ่าแบบไหน พญ.คุณหญิงพรทิพย์กล่าวว่า จะต้องผ่าแบบสมบูรณ์ทั้งพยาธิและนิติเวช ซึ่งที่ผ่านมาที่ในสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จะต้องแจ้งญาติ ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันเป็นการตายผิดธรรมชาติเพราะตายกะทันหัน แต่ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากโรคหรือไม่ใช่ก็ได้
 
“การตายในโรงเรียนเตรียมทหารจะต้องตรวจทั้งตัว ตรวจภายนอกก่อนว่ามีรอยช้ำหรือไม่ ทุกคนจะต้องนึกถึงสิทธิของคนตาย ต้องระวังเรื่องนี้ จากนั้นค่อยตรวจภายใน และตรวจชิ้นเนื้อ” พญ.คุณหญิงพรทิพย์กล่าว
 
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาเคยมีกรณีเสียชีวิตในเขตทหาร ในฐานะคณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมมีแนวคิดแก้ไขอย่างไรบ้าง พญ.คุณหญิงพรทิพย์ตอบว่า สหประชาชาติมีการกำหนดเอาไว้ และประเทศไทยยังไม่ได้ดำเนินการในเรื่องการตายที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐ จะต้องมีหน่วยงานกลางเป็นหน่วยงานอิสระ ซึ่งในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมมีการผลักดันเข้าไปด้วย ในส่วนตนคิดว่าหลักการชันสูตรพลิกศพที่มีเจ้าหน้าที่ 4 ฝ่าย (พนักงานสอบสวน แพทย์ พนักงานอัยการและพนักงานฝ่ายปกครอง) ยังไม่เพียงพอ ส่วนเรื่องที่ควรจะขึ้นศาลทหารหรือศาลยุติธรรมนั้น ตนไม่ค่อยติดใจ แต่ติดใจว่าผู้ที่ดำเนินการทุกภาคส่วนจะสามารถดำเนินการได้อย่างอิสระเต็มที่หรือไม่ ถ้าขึ้นต้นด้วยกระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานที่ไม่อิสระ ศาลอะไรก็ไม่สามารถให้ความเป็นธรรมได้ ขึ้นต้นต้องอิสระก่อนจะได้อยู่ในฐานะที่คนละสังกัดกันจะได้ไม่มีข้อจำกัดและเป็นอิสระของความเป็นวิชาชีพ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง