กองบัญชาการกองทัพไทย แถลงชี้แจงการเสียชีวิตของนตท.ภคพงศ์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 โดยพ.ท.นรุฏฐ์ ทองสอน รักษาราชการรองผอ.กอง สถาบันพยาวิทยา รพ.พระมงกุฎเกล้าแถลงผลการชันสูตร
พ.ท.นรุฏฐ์ระบุว่า การเสียชีวิตของ นตท.ภคพงศ์เป็นการตายที่ผิดธรรมชาติ จากการตรวจภายนอกไม่พบบาดแผลประทุษกรรมใดๆ จึงต้องผ่าตรวจภายใน พบซี่โครงซีกที่ 4 หัก มีรอยช้ำของกล้ามเนื้อหน้าอกด้านขวาและอกซ้าย ซึ่งไม่ตอบโจทย์ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เสียชีวิตได้อย่างไร จึงต้องตรวจทางกล้องจุลทรรศน์เพิ่มเติม จึงต้องเก็บอวัยวะ ซึ่งโดยปกติการเก็บอวัยวะจะสุ่มเก็บในขนาดเท่ากับหัวแม่มือหรือครึ่งหนึ่งของอวัยวะ แต่ในกรณีที่เสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติและไม่ทราบสาเหตุ ทางการแพทย์มักเก็บสมองและหัวใจ ซึ่งในทางกายภาพสมองจะนิ่ม ซึ่งหากทำไม่ดีอาจจะเละ จึงต้องฉีดฟอร์มาลีนให้แข็ง ชั้นตอนการฉีดฟอร์มาลีนจึงเก็บสมองและหัวใจไว้ทั้งอวัยวะก่อนจะนำมาทำสไลด์ส่องกล้องจุลทรรศน์
ส่วนผลการตรวจทางพิษวิทยา มีผล 3 ทางคือ ทางเลือด, ทางกระเพาะ และทางปัสสาวะ ซึ่งได้เก็บเลือดที่รพ.รามาธิบดี ส่วนกระเพาะปัสสาวะขณะนั้นไม่มีปัสสาวะจึงได้คืนไป และเนื่องด้วยกระเพาะปัสสาวะมีขนาดเล็กมากจึงอาจจะสังเกตได้ยาก ส่วนกระเพาะอาหารนั้นมีการเก็บไว้จริงเพื่อตรวจดูเศษอาหารและสารพิษ หลังเปิดกระเพาะอาหารแล้วไม่พบอะไรจึงเย็บคืนและฉีดฟอร์มาลีนไว้
ดังนั้น อวัยวะที่ทางสถาบันพยาธิได้เก็บไว้จึงประกอบด้วยหัวใจ สมอง และกระเพาะอาหารทั้งอัน รวมถึงสุ่มตัวอย่างอวัยวะไว้เพื่อทำสไลด์ตรวจทางห้องปฏิบัติการ ทั้งนี้ ได้ส่งรายงานชันสูตรให้พนักงานสอบสวนไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ ผลการชันสูตรน่าจะโน้มเอียงไปหาอาการทางหัวใจ คือหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ส่วนอวัยวะที่เหลือพร้อมคืนให้ญาติต่อไป
และในการแถลงข่าวดังกล่าว ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหารยืนยัน การเสียชีวิตไม่เกี่ยวกับการซ่อม (ทำโทษ) ที่เกิดขึ้นเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว
ก่อนหน้านี้ พลเอกธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ชี้แจงถึงคดีนักเรียนเตรียมทหาร (นตท.) ภคพงศ์ ตัญกาญจน์เสียชีวิต และญาติอ้างว่าอวัยวะภายในหายไปว่าไม่เป็นไปตามที่ทางญาติกล่าวอ้าง เนื่องจากเมื่อเกิดเหตุทาง รร.เตรียมทหารได้ส่งศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และมีการตัดอวัยวะบางส่วนนำไปผ่าพิสูจน์แต่เป็นเพียงชิ้นเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นทางญาติได้นำร่างกลับไปแล้วนำไปที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์อีกครั้ง
ขณะเดียวกันทางโรงเรียนเตรียมทหารได้ร่วมจัดงานศพ กับทางญาติและดำเนินการช่วยเหลือทุกอย่าง โดยที่ผ่านมาก็ได้ให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และยืนยัน ไม่ได้มีการขโมยอวัยวะแต่อย่างใด แต่กรณีที่มีผ้าพันแผลอยู่ในอวัยวะ น่าจะเกิดจากการตรวจพิสูจน์ก่อนหน้านี้ของทางโรงพยาบาล และทางโรงเรียนก็ได้ร่วมจัดงานพิธีบำเพ็ญกุศลศพและทำการฌาปนกิจเรียบร้อย ซึ่งเป็นการฌาปนกิจโลงเปล่าไม่มีศพ ทางโรงเรียนได้ให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ไม่ได้นิ่งนอนใจ
ด้านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีดังกล่าวว่า เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีทราบเรื่องนี้แล้วตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา สาเหตุมาจากหัวใจล้มเหลว โดยก่อนหน้านี้มีการนำปอดกับหัวใจไปตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิต ส่วนตัวจึงสงสัยว่าอวัยวะที่หายไปจะอยู่ที่ไหน ก็ต้องอยู่ที่โรงพยาบาล ทั้งนี้ รายละเอียดขอให้ไปถามพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ทั้งนี้ สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนขอแสดงความเสียใจ เพราะนักเรียนเตรียมทหารก็เปรียบเหมือนน้องหรือหลาน ไม่อยากให้เกิดความสูญเสียขึ้น ส่วนตัวยังสงสัยด้วยว่า ผู้ที่จะเข้าไปเป็นนักศึกษาเตรียมทหารจะต้องมีสุขภาพแข็งแรง แต่กับนักศึกษารายนี้มีอาการป่วยบ่อยและเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลของโรงเรียนเป็นระยะๆ ซึ่งจะต้องไปดูประวัติการรักษา ย้ำว่าไม่มีใครอยากให้ใครเสียชีวิต หากครอบครัวจะพิสูจน์ก็ทำได้ ไม่ขัดแย้งอยู่แล้ว แต่หากพบว่าเสียชีวิตผิดธรรมชาติก็ต้องลงโทษ
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงคดีดังกล่าวว่า แพทย์ได้นำหัวใจและปอดของนักเรียนเตรียมทหารไปตรวจพบว่าเสียชีวิตฉับพลัน ส่วนข้อเท็จจริงที่ญาติร้องเรียนขอให้สอบถามกับโรงพยาบาลที่กำลังตรวจสอบ พร้อมระบุได้รับการชี้แจงจากผู้บัญชาการทหารสูงสุดว่าการเสียชีวิตไม่ได้มาจากการถูกทำโทษ และที่บอกว่าซี่โครงหักก็ไม่เป็นความจริง ส่วนที่ญาติยังติดใจก็ขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะเรื่องเช่นนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
และเมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (21 พฤศจิกายน 2560) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปติดตามความคืบหน้า ที่บ้านของนายพิเชษฐ ตัญกาญจน์ บิดาของผู้เสียชีวิต แต่ก็ไม่พบผู้ใดอยู่บ้าน จากนั้นจึงลงพื้นไปที่วัดวิเวการาม ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เพื่อสอบถามพระสงฆ์เกี่ยวกับการฌาปนกิจศพของนตท.ภคพงศ์ ซึ่งพระสงฆ์หลายรูปต่างตอบว่าไม่ทราบว่าในโลงศพ มีศพ นตท.ภคพงศ์ จริงๆหรือไม่ เพราะบิดามารดาได้มาเชิญพระสงฆ์ไปสวด พระก็ไปทำตามหน้าที่เท่านั้น และในขณะนำศพเข้าเตาเผา ก็ไม่ได้เปิดโลงศพเป็นครั้งสุดท้ายแต่อย่างใด
นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวยังได้โทรศัพท์ไปสอบถามจากสัปเหร่อ ซึ่งกล่าวว่า บิดาและมารดาของผู้เสียชีวิตไม่ขอใช้สัปเหร่อที่วัด โดยทางญาติผู้เสียชีวิตนำเจ้าหน้าที่มาดำเนินการเองทั้งหมดและขอใช้สถานที่เพียงอย่างเดียว