คดีขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายของนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ครูจอมทรัพย์" เป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากสังคมขึ้นมาทันที หลังเธอตัดสินใจยื่นคำร้องต่อกระทรวงยุติธรรม และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาใหม่ หลังถูกศาลฎีกาพิพากษาว่ามีความผิด ต้องถูกจำคุก 3 ปี 2 เดือน แต่รับโทษจริง 1 ปี 6 เดือน เนื่องจากได้รับพระราชทานอภัยโทษในปี 2558 และเธอยืนยันว่าตัวเองเป็น "แพะ" ในคดีนี้
ย้อนกลับไปเมื่อ 12 ปีที่แล้ว วันที่ 11 มีนาคม 2548 เกิดเหตุรถกระบะอีซูซุสีเขียว ทะเบียน บค56 สกลนคร เฉี่ยวชนนายเหลือ พ่อบำรุง ผู้ขับขี่จักรยานบริเวณริมถนน ที่ ต.โคกหินแฮ่ อ.เรณูนคร จ.นครพนมจนเสียชีวิต นางจอมทรัพย์อ้างว่าถูกเรียกตัวไปรับทราบข้อกล่าวหา ทั้งที่ไม่เคยขับรถชนใคร และระบุว่าขณะเกิดเหตุก็พักอยู่ที่บ้านและรถก็จอดอยู่ที่บ้าน พร้อมยืนยันว่าสีของรถที่ได้จากที่เกิดเหตุเป็นสีเขียว ซึ่งต่างกับสีรถของนางจอมทรัพย์ที่เป็นสีบรอนซ์ทอง
การยื่นขอรื้อฟื้นคดีในครั้งนี้ นางจอมทรัพย์อ้างหลักฐานใหม่ คือบันทึกคำให้การของนายสัป วาปี ที่ระบุว่าเป็นคนขับรถกระบะสีเขียว ทะเบียน บค56 มุกดาหาร โดยอ้างว่าเป็นรถคันที่เกิดเหตุจริง และไม่ใช่รถคันที่นางจอมทรัพย์ครอบครอง นายสัปยังอ้างพยานเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถที่อ้างว่านายสัปนำรถไปซ่อมด้วยตนเองหลังเกิดเหตุ และครอบครัวผู้เสียชีวิตยืนยันว่าได้รับค่าชดเชยหลังฟ้องคดีแพ่งจากนายสัป ไม่ใช่ครูจอมทรัพย์
ทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ยังพบว่า นางจอมทรัพย์และครอบครัว เคยยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมและร้องขอให้สืบสวนหาข้อเท็จจริงการทำสำนวนคดีของ สภ.เรณูนคร ไปยังกองบังคับการตำรวจภูธรจ.นครพนมเมื่อปี 2556 ซึ่งได้มีการสั่งการให้สอบสวนหาข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว คณะทำงานสอบข้อเท็จจริงได้สอบสวนพยานเพิ่มเติม 10 ปาก ซึ่งพยานระบุว่า จำจังหวัดในป้ายทะเบียนของรถคันเกิดเหตุไม่ได้ จำได้เพียงเลข 56 และพบว่าในสำนวนเดิมมีประจักษ์พยานเพียงปากเดียว ซึ่งประจักษ์พยานดังกล่าวที่มีเพียงคนเดียวยังยืนยันว่า คนขับรถคันที่เกิดเหตุเป็นผู้ชาย สำนวนการสอบสวนคดีในขณะนั้นจึงสรุปว่าเป็นการจับผิดตัว
แต่คดีนี้กลับไม่ง่าย เมื่ออีกด้านหนึ่ง พลตำรวจเอกปัญญา มาเม่น จเรตำรวจแห่งชาติ ตั้งโต๊ะแถลงแสดงความเชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานและพนักงานสอบสวนทำถูกต้อง ยืนยันว่าได้ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยตนเองและเปิดโปงว่ามีขบวนการสร้างเรื่องให้เห็นว่านางจอมทรัพย์เป็นแพะ หรือมีขบวนการรับจ้างรับผิดที่ทำกันมาอย่างยาวนาน เช่นเดียวกับเลขาธิการสมาคมพนักงานสอบสวนที่ตั้งคำถามกลับถึงนางจอมทรัพย์ว่า นางจอมทรัพย์เป็นถึงข้าราชการซี 8 เหตุใดจึงไม่ยอมให้การในชั้นสอบสวน ไม่ต่อสู้แสวงหาหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ตั้งแต่ตอนแรก แต่กลับมาขอรื้อคดีหลังถูกจำคุกไปแล้ว
คนอีกกลุ่มหนึ่งที่ออกมาแสดงความเชื่อมั่นอย่างชัดเจนว่านางจอมทรัพย์เป็นผู้ก่อเหตุจริง คือนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ที่ยืนยันว่ามีหลักฐานที่สามารถทำให้สังคมเห็นว่านางจอมทรัพย์ไม่ใช่แพะ พร้อมกับกล่าวหานางจอมทรัพย์ว่าต้องการทำลายกระบวนการยุติธรรมและทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และประกาศว่า หากคดีนี้นางจอมทรัพย์เป็นแพะจริง ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมยินดีให้นางจอมทรัพย์ฟ้องทั้งอาญาและแพ่ง และยินดีที่จะยุติบทบาทของชมรม
ต่อมา มีการเปิดบันทึกประจำวันของ สภ.เรณูนครเมื่อปี 2556 ซึ่งเพื่อนของนางจอมทรัพย์ พานายเสริฐ รูปสะอาด ไปพบกับตำรวจพร้อมยืนยันว่า นายเสริฐได้ซื้อรถคันที่เกิดเหตุจากนายสัป และเป็นผู้ขับรถชนคนเสียชีวิต แต่อีกด้านกลับมีบันทึกการให้ปากคำต่อ สภ.นาโดนในปีต่อมาที่ขัดแย้งกัน โดยระบุว่านายสัปเป็นคนขับรถชนด้วยตนเอง ในที่สุด นายเสริฐกลายมาเป็นพยานฝ่ายอัยการที่ยืนยันว่าถูกว่าจ้างให้รับผิดแทนนายสัปในคดีนี้
การสืบพยานเพื่อพิจารณารื้อคดีนี้เกิดขึ้นในวันที่ 8-10 กุมภาพันธ์ 2560 ศาลสืบพยานฝ่ายครูจอมทรัพย์ 9 ปาก พยานเน้นการพิสูจน์ตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ว่า รถทะเบียน บค 56 สกลนคร ไม่เคยมีการเฉี่ยวชนมาก่อน แต่กลับไม่มีชื่อของนายสัป วาปี เป็นพยานที่นำสืบ ส่วนพยานฝ่ายตรงข้ามคือฝ่ายอัยการเป็นตำรวจ 4 ปาก และพลเรือนอีก 10 ปาก พยานปากสำคัญของฝ่ายนี้ก็คือนายเสริฐที่ยืนยันว่าตนเองถูกว่าจ้างจากเพื่อนของนางจอมทรัพย์ด้วยเงิน 2 แสนบาทให้รับผิดแทนนายสัป ทั้งที่ตนเองขับรถไม่เป็น
7 มีนาคม 2560 ทนายความฝั่งนางจอมทรัพย์ยื่นคำแถลงปิดคดีต่อศาลจังหวัดนครพนม ก่อนศาลจังหวัดนครพนมจะส่งต่อให้ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาตามลำดับ และในที่สุด ศาลจังหวัดนครพนมก็ได้รับคำพิพากษากลับมาจากศาลฎีกา นัดคู่ความทั้งสองฝ่ายฟังคำพิพากษาในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 ในเวลา 13 นาฬิกา ซึ่งก็คือวันนี้
ต่อมาเวลา 15.00 น. ศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้องของนางจอมทรัพย์ เนื่องจากศาลวิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานของนางจอมทรัพย์ที่นำสืบไม่น่าเชื่อถือ และไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ รวมทั้งยังมีพิรุธ จึงมีความเห็นให้ยกคำร้อง
+ อ่านเพิ่มเติม