นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงภายหลังที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติในวันที่ 29 สิงหาคมให้อุทธรณ์คดีสลายชุมนุมปี 2551 จำเลยเพียง 1 ราย คือพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และอีก 3 รายคือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ไม่มีการอุทธรณ์ว่า จากมติดังกล่าวเกิดความไม่เป็นธรรม และสังคมมีข้อสงสัยต่อมติของป.ป.ช. อีกทั้งญาติและผู้เสียหายไม่ได้รับความเป็นธรรม
ดังนั้นที่ประชุมของกลุ่มพันธมิตรฯ จึงมีมติให้ดำเนินคดีอาญากับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 พร้อมยังตั้งข้อสังเกตว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นการเลือกปฏิบัติและปกป้องผลประโยชน์เพียงบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
แนวทางจากนี้ กลุ่มฯ จะประชุมหารือกันอีกครั้งในวันเสาร์ที่ 2 กันยายน เพื่อรวบรวมความเห็นทางกฏหมายและเดินหน้าหาช่องทางการดำเนินคดีต่อกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งแนวทางเบื้องต้นกำหนดไว้ 3 แนวทางคือ แจ้งความเอาผิด, เข้าชื่อโดยประชาชน 20,000 ชื่อหรือเสนอต่อสนช.และส.ว.ในอนาคต และยื่นต่อศาลอาญาแผนกการทุจริตหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป
ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ระบุว่า การออกมติของป.ป.ช.ส่อให้เห็นว่าเป็นการตัดตอน เหมือนดังคดีจำนำข้าวหรือโครงการจีทูจีที่ผ่านๆมา และการทำหน้าที่ของป.ป.ช.ไม่มีมาตรฐานในการทำหน้าที่ ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น มักเป็นไปตามกระแสและอำนาจ ซึ่งป.ป.ช.นั้นเป็นองค์กรอิสระย่อมต้องให้ความเป็นธรรมต่อประชาชนได้ และควรทำหน้าที่ทุกอย่างเพื่อประชาชน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
+ อ่านเพิ่มเติม