สนง.ยุติธรรมจ.กระบี่ เข้าช่วยเยียวยา ญาติเหยื่อถูกฆ่ายกครัว ชาวบ้านเผยอาจเป็นปมเรื่องขัดแย้งพื้นที่
logo ข่าวอัพเดท

สนง.ยุติธรรมจ.กระบี่ เข้าช่วยเยียวยา ญาติเหยื่อถูกฆ่ายกครัว ชาวบ้านเผยอาจเป็นปมเรื่องขัดแย้งพื้นที่

10,919 ครั้ง
|
13 ก.ค. 2560
         จากเหตุการณ์ฆ่ายกครัว ทางสำนักงานยุติธรรมได้ เข้าให้ญาติเหยื่อกรอกข้อมูลเพื่อขอรับเงินเยียวยา ด้านพ่อผญบ.ระบุ ไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายแม้จะเป็น ส.อบต. ส่วนชาวบ้านระบุประเด็นโรงโม่หินนั้น ผู้ใหญ่เป็นผู้สนับสนุนแต่เกิดผิดพลาด เพราะกรมศิลปกรประกาศเป็นเขตโบราณสถานอาจทำให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงได้จากกรณีคนร้ายไม่ต่ำกว่า 6-7 คน อาวุธปืนครบมือ แต่งชุดลายพราง เข้าไปที่บ้านของนายวรยุทธ สังหลัง อายุ 46 ปี ผู้ใหญ่บ้าน บ้านเขางาม หมู่ที่ 1 ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ก่อนจับคนในบ้านและญาติๆ ของภรรยานายวรยุทธ และครอบครัว รวม 11 คน ก่อนลงมือสังหารอย่างโหดเหี้ยม โดยใช้ปืน .38 ของผู้ใหญ่บ้านยิงศีรษะทีละคน จนเสียชีวิต 8 คน และบาดเจ็บ 3 คน เหตุเกิดเมื่อเวลา 00.30 น.คืนวันที่ 11 กค.ที่ผ่านมา
 
          ทางเจ้าหน้าที่จากสำนักงานยุติธรรมจ.กระบี่ ได้เดินทางมาที่ อบต.บ้านกลาง เพื่อให้ญาติของผู้เสียชีวิตแต่ละรายได้กรอกรายละเอียด สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามีผู้ใดเสียชีวิตบ้าง เพื่อที่จะให้การช่วยเหลือเยียวยาจากเหตุการณ์ฆาตกรรม ซึ่งจะมีการพิจารณาให้การช่วยเหลือรับเงินต่อไป โดยมีญาติของแต่ละคน เดินทางมากรอกประวัติให้ขณะที่นายสนาน สังหลัง อายุ 63 ปี เป็น ส.อบต.หมู่ 3 ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก ซึ่งเป็นพ่อของนายวรยุทธ สังหลัง ผญบ.หมู่ 1 ผู้เสียชีวิตพร้อมครอบครัว เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวแม้ตนจะเป็นพ่อของผู้ตาย แต่ก็ห่างกันเนื่องจากอยู่คนละหมู่บ้าน และไม่ทราบว่ามาจากสาเหตุใด แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการฟ้องร้องกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่จะหารือกับทางพ่อตามากกว่าทางตน จึงทำให้ไม่ทราบสาเหตุที่เกิดขึ้น
 
          จากการเข้าไปตรวจสอบโรงโม่ระเบิดหิน ที่ได้มีการขอประทานบัตรจากผู้ประกอบการรายหนึ่งตั้งแต่เมื่อ 5-6 ปีก่อน และทางกรมศิลปากรได้ประกาศให้ภูเขาในบริเวณดังกล่าวเป็นโบราณสถาน เนื่องจากพบเครื่องใช้ดินเผา กระดูกมนุษย์โบราณ รวมถึงภาพเขียนสีตามเพิงผาต่างๆจำนวนมาก ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2559 ส่งผลให้การสัมปทานพื้นที่ไม่สามารถทำได้ โดยข้อมูลพบว่า การขอสัมปทานเมื่อปี 2558 ได้มีการยื่นขอสัมปทานอีกรอบ โดยเปลี่ยนชื่อผู้ขอ ซึ่งทางชาวบ้านระบุว่า นายทุนผู้ขอสัมปทาน ได้ให้ผู้ใหญ่บ้านเป็นตัวตั้งตัวตีในการเคลียร์กับชาวบ้านให้สนับสนุน ซึ่งผู้ใหญ่เป็นผู้ชักนำมาลงทุน แต่มีชาวบ้านคัดค้านอย่างหนัก เนื่องจากเห็นว่าเป็นพื้นที่โบราณสถานมีวัตถุโบราณหลายพันปี และยังเป็นแหล่งต้นน้ำ รวมถึงผลกระทบจากฝุ่นละออง จึงได้ให้ทางกรมศิลปากรเข้ามาตรวจสอบ และนำมาสู่การขึ้นทะเบียนในเวลาต่อมา ส่งผลให้การขอสัมปทานเหมืองต้องหยุดชะงัก และการลงทุนซื้อที่รวมทั้งการวิ่งเต้นต่างๆ ใช้เงินจำนวนมาก ซึ่งกรณีดังกล่าว อาจทำให้มีผู้ไม่พอใจ นำมาสู่การสังหารได้เช่นกัน
 
          ซึ่งเบื้องต้นพบมีชนวนการสังหารมาจาก 4 ประเด็น คือ เรื่องขัดแย้งการเมืองท้องถิ่น การฟ้องร้องหลายคดี รวมทั้งโรงโม่หินที่อยู่ระหว่างการสัมปทาน ที่มีความขัดแย้งออกเป็น 2 กลุ่ม และเรื่องส่วนตัว โดยทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ตัดประเด็นใดๆทิ้งไป
 
ข่าวที่เกี่ยวข้อง