"ใช้ Google ตามหาครอบครัว หลังหายออกจากบ้านนานกว่า 15 ปี
มูลนิธิกระจกเงา ร่วมกับตำรวจสวัสดิภาพเด็ก ลงพื้นที่ติดตามเบาะแส จนพบพ่อของคนหาย"
วันนี้ (2 พค 60) ที่กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กกดส) กองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กกดส) ร่วมกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา เจ้าหน้าที่ตำรวจสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ แถลงข่าวพาคนหายที่หายออกจากบ้านไปนานกว่า 15 ปีกลับคืนสู่ครอบครัว
พ.ต.ท.ปฏิศาสตร์ ศรีมณฑา กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี(ดส) กล่าวว่า มูลนิธิกระจกเงา ได้ประสานตำรวจ ดส.ว่ามีชายอายุประมาณ 25 ปี ประสงค์ตามหาครอบครัวที่แท้จริง เนื่องจากหนีออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก โดยมีข้อมูลที่จดจำได้เพียงบางส่วนเกี่ยวกับชุมชนที่เคยอาศัยอยู่ ตำรวจ ดส.จึงร่วมกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา ลงพื้นที่ชุมชนย่านตลาดศรีเขมา เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร ตระเวนเดินเท้าหาข่าวในชุมชนกระทั่งพบเบาะแสญาติของชายคนดังกล่าว จนสามารถติดตามหาบิดาจนพบ
นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า ช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีคนแจ้งเข้ามาผ่านกล่องข้อความในเฟซบุ๊คแฟนเพจ "ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา" ว่าต้องการตามหาครอบครัวของตน เนื่องจากตนหนีออกจากบ้านมาตั้งแต่เด็ก จำชื่อนามสกุลจริงของตัวเองและคนในครอบครัวไม่ได้ จำได้เพียงชื่อเล่นของตนเองว่าอั้ม มีพ่อชื่อบุญธรรม และแม่ชื่อแมว บ้านอยู่ชุมชนริมทางรถไฟไม่ทราบชื่อ มีคลองหรือแม่น้ำใกล้ๆ และมีตลาดอยู่หลังชุมชน
หลังได้รับข้อมูล จึงได้ลงพื้นที่ไปพูดคุยรายละเอียดกับนายอั้ม ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากนายอั้มทำงานรับจ้างอยู่ที่นั่น หลังจากปะติดปะต่อข้อมูลที่ได้มา จึงประสานงานไปยังตำรวจกองบังคับการตำรวจรถไฟ เพื่อให้ช่วยวิเคราะห์สภาพชุมชนริมทางรถไฟ กระทั่งช่วงหลังสงกรานต์ ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา ได้ลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจรถไฟ บริเวณชุมชนยมราช แต่ไม่มีใครรู้จักนายอั้มและครอบครัว จึงได้ประกาศข้อมูลประชาสัมพันธ์ผ่านเฟซบุ๊คแฟนเพจอีกรอบ กระทั่งมีพลเมืองดี แจ้งเบาะแสว่า จากข้อมูลน่าจะเป็นชุมชนริมทางรถไฟย่านตลาดศรีเขมา เขตบางซื่อ จึงได้ประสานงานมายังตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กกดส) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กระทั่งติดตามจนพบครอบครัวนายอั้มในที่สุด
ด้านนายเอกลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีครอบครัวเด็กหายอีกหลายครอบครัวที่บุตรหลานหายออกจากบ้านนานนับสิบปี ตนเองหวังว่าเด็กเหล่านั้นจะปลอดภัยและเติบโตมาจนมีโอกาสที่จะหาทางติดต่อกลับมาหาครอบครัว นี่เป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจสำคัญที่ครอบครัวที่บุตรหลานสูญหายยังมีความหวังในการได้ลูกกลับคืนมาสู่ครอบครัว
โดยนายอั้มกล่าวว่า ตนหนีออกจากบ้านมาตั้งแต่เด็ก จำความไม่ได้มากนัก มีเพื่อนชักชวนให้นั่งรถเมล์เล่น จึงออกมากับเพื่อนแล้วใช้ชีวิตขอทานอยู่ที่สนามหลวงและตรอกข้าวสาร กระทั่งเริ่มโตขอทานไม่ได้ จึงอาศัยเก็บของเก่าขายและอาศัยข้าววัดกิน โดยเมื่อสี่ปีที่แล้ว นั่งรถไฟฟรีไปลงที่หัวหินและเริ่มทำงานรับจ้างรายวัน จนเห็นเพื่อนที่ทำงานกลับบ้านไปหาครอบครัว ตนจึงเริ่มคิดถึงครอบครัวและอยากตามหา เพื่อกลับไปอยู่กับครอบครัว
นายอั้มเล่าว่า เนื่องจากตนไม่ได้เรียนหนังสือ จึงอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ อาศัยว่าตอนออกมาเร่ร่อนได้เล่นเกมส์ออนไลน์ จึงใช้คอมพิวเตอร์เป็น ตนเริ่มตามหาครอบครัวจากการใช้โปรแกรม Google โดยพูดใส่โปรแกรมด้วยเสียงให้แปลเป็นตัวอักษรเพื่อค้นหา โดยตนพูดชื่อตัวเองและคำว่า "เด็กหาย" เพื่อหวังว่าจะพบประกาศตามหาตัวเองในอินเตอร์เน็ต ปรากฏว่า Google แสดงผลหน้า เฟซบุ๊คแฟนเพจ "ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา" ขึ้นมา ตนเห็นว่า เพจนี้มีคนติดตามมากกว่า สี่แสนคน คิดว่าน่าเชื่อถือ จึงส่งข้อความมายังเพจโดยการพูดใส่goolge และคัดลอกตัวอักษรที่โปรแกรมแปลเป็นอักษร จึงสื่อสารกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงาจนเข้าใจ
นายอั้มกล่าวว่า หลังจากเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา โทรไปหาตนว่า ตามหาครอบครัวของตนพบแล้วนั้น ตนตื่นเต้นดีใจมาก รีบไปขอลางานเพื่อขึ้นมากรุงเทพฯ ตนดีใจที่ได้พบพ่ออีกครั้ง และขอโทษสำหรับการหนีออกจากบ้านในวัยเด็ก ทั้งนี้ ขอขอบคุณประชาชนทุกท่านที่ช่วยกันแชร์ข้อมูลของตน เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา ที่ทำให้ตนได้พบกับครอบครัวอีกครั้ง
ด้านนายบุญธรรม พลายลมูน อายุ 54 ปี กล่าวว่า สิบห้าปีก่อนบุตรชายของตนหายออกจากบ้านไป พยายามติดตามหาแต่ไม่พบตัว ประกอบกับตอนนั้นตนมีอาชีพขับรถประจำทางเลี้ยงครอบครัว จึงตามหาเท่าที่พอทำได้ ทุกวันนี้ป่วยเป็นเบาหวานและขาแขนอ่อนแรง ดีใจมากที่ลูกยังมีชีวิตอยู่ และพร้อมรับลูกกลับมาอยู่ด้วยกันในครอบครัว สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันพาลูกชายของตนกลับมาหาตนอีกครั้ง
ด้าน พตอ วาที อัศวุต หัวหน้ากลุ่มงานตรวจเลือดชีวเคมีและเขม่าดินปืน สถาบันนิติเวชวิทยา สถาบันนิติเวชวิทยา กล่าวว่า สถาบันนิติเวชวิทยา ได้รับการส่งตัวอย่างสารพันธุกรรมของนายอั้มและนายบุญธรรม จากมูลนิธิกระจกเงา ตรวจเปรียบเทียบแล้ว ตรงกัน จึงมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด
โดยสถาบันนิติเวชวิทยามีโครงการ ชื่อดีเอ็นเอโปรคิดส์ เป็นโครงการระหว่างประเทศเพื่อการต่อต้านการค้ามนุษย์ ด้วยการเก็บสารพันธุกรรมของพ่อ แม่ ที่ลูกหาย ไว้ในระบบฐานข้อมูล จากนั้นเมื่อมีการพบเด็กที่ไม่ทราบตัวบุคคลชัดเจน สงสัยว่าถูกลักพาหรือล่อลวงไป จะทำการตรวจสารพันธุกรรมของเด็ก เพื่อเปรียบเทียบกัน ซึ่งอยากเชิญชวนให้ผู้ปกครองที่บุตรหลานสูญหายได้มาเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมไว้ ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ โดยโครงการกล่าวไม่เสียค่าใช้จ่าย