จากกรณี เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหาร ร้อย.ม2.บก. ร่วมกับ ชสท.ที่5 กองกำลังผาเมือง เรียกตรวจรถยนต์ฮอนด้าแจ๊ซ ที่บริเวณด่านตรวจบ้านรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ คนขับคือนายชัยภูมิ ป่าแสง นักกิจกรรมชาวลาหู่ หลบหนีเข้าป่า เจ้าหน้าระบุว่าพบยาเสพติดในรถ และนายชัยภูมิพยายามจะปาระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ จึงจำเป็นต้องยิงนายชัยภูมิจนเสียชีวิต
ประเด็นดังกล่าวกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ และเกิดกระแสในโลกออนไลน์ ตั้งคำถามถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งมีการติดแฮชแท็ก #RIPชัยภูมิ
ล่าสุดวันนี้ พันเอกวินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก และโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ชี้แจงประเด็นดังกล่าวต่อสื่อมวลชน มีข้อความระบุว่า
กรณี มีการร้องเรียนผ่านสื่อ นสพ. ฉบับ 19 มี.ค.60 ว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้กระทำการที่เกินกว่าเหตุในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่นั้น จากการสอบถามข้อมูลในเบื้องต้น พบว่า เหตุการดังกล่าว เป็นไปในลักษณะที่สุดวิสัย เนื่องจากผู้ต้องสงสัยมีพฤติกรรมต่อสู้ขัดขืน และพยายามที่จะทำร้ายโดยประสงค์ต่อชีวิตเจ้าหน้าที่ จึงจำเป็นต้องป้องกันตัว.
โดยในรายละเอียดของเหตุการณ์มีดังนี้ เมื่อเวลา 10.00 ของวันที่ 17 มีนาคม เจ้าหน้าที่ทหาร สังกัดกองร้อยทหารม้าที่ 2 บก.ควบคุมที่ 1 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 5 ได้จัดตั้งจุดตรวจค้นยาเสพติดบริเวณสามแยกรินหลวง พบรถยนต์ฮอนด้าแจ๊ซ สีดำ หมายทะเบียน ขก-3774 เชียงใหม่ มียาบ้า จำนวน 2,800 เม็ด ซุกซ่อนไว้บริเวณกรองอากาศ จึงเข้าดำเนินการจับกุม นายพงศ์นัย แสงตะล้า อายุ 19 ปี ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับรถไว้ได้ แต่นาย ชัยภูมิ ป่าแส อายุ 21 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่นั่งมาด้วยทางด้านหน้าข้างคนขับ ได้มีการขัดขืนโดยได้วิ่งหนีออกจากรถไป เพื่อหวังจะหลบการจับกุม. เจ้าหน้าทหารจึงได้มีการวิ่งไล่ติดตามไป. และเมื่อใกล้ถึงตัวนาย ชัยภูมิ ฯ. กลับเกิดเหตุการณ์ที่น่าเสียใจคือ นายชัยภูมิ กลับหยิบระเบิดมือที่พกไว้ออกมา พยายามที่จะขว้างปาใส่เพื่อหวังจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนประจำกาย ยิงออกไป เพื่อจะหยุดการกระทำและเพื่อเป็นการป้องกันตัวจำนวน 1 นัด จึงเป็นเหตุให้ นาย ชัยภูมิ ป่าแส เสียชีวิต
ซึ่งเจ้าหน้าที่ยืนยันว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ทุกคนยึดมั่นในหลักปฏิบัติที่จะพยายามดำเนินการใดๆ ด้วยวิธีที่ละมุนละม่อม หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงให้ได้มากที่สุด กรณีจะใช้อาวุธต่อเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
+ อ่านเพิ่มเติม